ของขวัญปีใหม่ 2564


เพิ่มเพื่อน    

      วันศุกร์ปิดท้ายสัปดาห์นี้...ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พุทธศักราช 2564 หรือคริสต์ศักราชที่ 2021 พอดิบ พอดี เป็นธรรมดาที่คงต้องคิดอะไรดีๆ เขียนอะไรดีๆ เพื่อให้เข้ากับสีสัน บรรยากาศ การต้อนรับปีใหม่ ที่แม้จะมีความชุลมุน ชุลเก ความหม่นหมอง เงียบเหงาและวังเวง อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัส COVID-19 แทรกซ้อนและครอบคลุมแทบจะทั่วทั้งโลกไปตามสภาพ...

                                                                ---------------------------------------------------

      แต่การส่งความสุข ความปรารถนาดี ส.ค.ส.2564 ให้กับท่านทั้งหลาย ไม่ว่าผู้อ่าน หรือโดยเฉพาะเด็ก-เยาวชนคนรุ่นใหม่ ก็ได้จัดส่งผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ ไปแล้ว ถึง 2 ครั้ง 2 คราด้วยกัน มาถึงวันนี้...ก็เลยแทบไม่รู้ว่าจะไปคว้าอะไร หยิบอะไร มานำเสนอ มาพูดจา ว่ากล่าวกันดี จะออกไปทาง พระ มากๆ ก็อาจไม่ถึงกับถูกอก ถูกใจ พระเดชพระคุณท่าน หรือพ่อเจ้าประคุณรุนช่องทั้งหลาย ที่อาจหนักไปทาง พระพม่า หรือยังต้องวนมา-วนไป อยู่กับ โลกย์ กับโลกียวิสัย อันประกอบไปด้วย อารมณ์-ความรู้สึก แบบด้าน ตรงกันข้าม ยังมีรัก-มีเกลียด มีชอบ-มีชัง มีขาว-มีดำ มีมืด-มีสว่าง ฯลฯ เป็นตัว ปรุงแต่ง อากัปกิริยา ท่าทาง ความคิด ความอ่าน กันไปเป็นระยะๆ หรือจนกว่าจะเด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้นั่นเอง...

                                                                   -------------------------------------------------

      ดังนั้น...เอาเป็นว่า ถ้าไม่ถึงกับ พระ จนเกินไปนัก ขออนุญาตไปนำเอาถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ ประยุกต์ใช้กับปุถุชนคนธรรมดา ได้อย่างสอดคล้อง กลมกลืน ไม่ว่าในสภาพไหน สภาวะแบบไหน ไปโดยตลอดนั่นแหละ มาเป็น ของขวัญปีใหม่ ให้กับใครต่อใคร ที่พร้อมรับเอาของขวัญชิ้นนี้ไปแกะกล่องกันดูเอาเอง นั่นก็คือคำว่า สติ นั่นแหละสหาย!!! คือไม่ว่าจะรักใคร-เกลียดใคร ชอบใคร-ชังใคร ก่อนที่จะ ออกอาวุธ กันในแต่ละดอก ถ้าลองหยุดนิ่งซักนาที-สองนาที หยุดคิด หยุดอารมณ์-ความรู้สึก เพื่อเพ่งพินิจ พิจารณา ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ให้ถ้วนถี่ ถึงค่อยออกหมัด-เท้า-เข่า-ศอก คว้าสากกะเบือบิน มาสาดใส่ใครต่อใคร อย่างน้อย...สากเหล่านั้น อาวุธเหล่านั้น มันน่าจะคมกว่า เข้าท่ากว่า หรือน่าจะพอมีเหตุมีผล พอให้เกิดการใคร่ครวญ หวนคิด อันจะนำไปสู่ ประโยชน์ ในเชิงปฏิบัติได้มากกว่า...

                                                                       --------------------------------------------------

      คือด้วยเหตุเพราะ เทคโนโลยี หรือด้วยเหตุผล กลใด ก็มิอาจสรุปได้...ที่ทำให้ช่วงหลังๆ มานี้ รู้สึกว่าใครต่อใคร มักจะนอตหลุด นอตหลวม จนเกินเหตุ ไม่ว่าจะ ด่า จะ ชม จะ เชียร์ หรือจะ เชลียร์ ใดๆ ก็ตาม คล้ายๆ ไม่ค่อยได้กลั่น ได้กรอง ออกอะไรต่อมิอะไรกันมาเป็นแท่งๆ ด้ามๆ ยิ่งสามารถโพสต์โน่น โพสต์นี่ แชร์โน่น แชร์นี่ โดยไม่จำเป็นต้องมีบรรณาธิกร บรรณาธิการ มีฝ่ายพิสูจน์อักษร คอยตรวจ คอยแก้ คอยปรับอะไรต่อมิอะไรต่างๆ สิ่งที่เรียกๆ กันว่า ปิยวาจา ที่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ท่านทรงบิณฑบาตมาแล้วเป็นปีๆ มันจึงแทบไม่เหลือ เหลือแต่ประเภท วจีทุจริต นั่นแหละเป็นหลัก เผลอๆ...หนักไปทางด่าพ่อ ล่อแม่ หยาบๆ คายๆ สำหรับพวกที่เกลียดแล้ว เกลียดอีก ส่วนพวกที่รักแล้ว รักอีก ก็พร้อมที่จะตามไป แหกทวารดม สูดกลิ่นมาดามหอมชื่นใจ อย่างแทบไม่ได้มี ศิลปะ ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...

                                                                       -----------------------------------------------------

      อันที่จริง...ผู้ที่เคยหยิบเอาเรื่อง สติ มาพูดจา ว่ากล่าว มาย้ำแล้ว ย้ำอีก กันโดยตลอด น่าจะไม่มีใครเกินไปกว่า ล้นเกล้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 นั่นแหละทั่น และโดยตลอดช่วงระยะที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ หรือตั้งแต่ได้เปล่งคำปฐมบรมราชโองการ ว่าด้วย... เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมวลมหาประชาชนชาวสยาม ก็ได้ทรงแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า สติ ที่ว่านี้มาโดยตลอด หรือใน พระบรมราโชวาท ที่บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งฯ เขาได้นำมารวบรวมไว้ในหนังสือเรื่อง 108 มงคล-พระบรมราโชวาท เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ก็ล้วนเต็มไปด้วยถ้อยคำ เต็มไปด้วย พระราชดำรัส ที่มุ่งเชิญชวน ชี้แนะ ถึงสิ่งที่เรียกว่า สติ ไว้ชนิดเยอะแยะ มากมาย...

                                                                        -------------------------------------------------

      เช่น ที่ทรงระบุไว้ในหัวข้อเรื่อง ความสงบหนักแน่น ทำให้เกิดความยั้งคิด ที่ได้ทรงอธิบาย ขยายความเอาไว้ว่า...ความสงบหนักแน่น เป็นเครื่องผ่อนปรนระงับความรุนแรง ความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจในกันและกันได้ในทุกๆ กรณี โดยเฉพาะความสงบหนักแน่นในจิตใจนั้น ทำให้เกิดความยั้งคิด พิจารณาตามเหตุ ตามผล จึงช่วยให้สามารถขบคิด วินิจฉัย เรื่องราวปัญหา และกระทำได้ถูกต้อง พอเหมาะ พอดี มีประสิทธิผล... ส่วนจะสามารถสร้าง ความสงบหนักแน่น ให้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ก็ได้ทรงอรรถาธิบายไว้อีกว่า... ความสงบภายใน หรือจิตใจที่ปลอดโปร่งจากสิ่งรบกวนนี้...สำคัญมากๆ!!! ควรจะทำให้มีขึ้น เพราะผู้ที่มีจิตใจสงบจะใช้ความคิด พิจารณา ของตน ได้อย่างกว้างขวาง และถูกต้อง ดีขึ้น ความคิดที่ประกอบไปด้วยความสงบนั้น มีศักยภาพสูง อาจนำไปคิดอ่านสร้างสรรค์สิ่งที่จะอำนวยความสุข ความเจริญก้าวหน้า ตลอดจนชื่อเสียงและเกียรติคุณ อันเป็นสิ่งที่แต่ละคนปรารถนา ให้สัมฤทธิผลได้...

                                                                           -----------------------------------------------------

      คือ หยุดคิด ไว้ซักนิด...อย่างน้อยก็อาจพอช่วยให้อะไรก็แล้วแต่ ที่ออกไปทาง เหี้ย-ห่า-และสารพัดสัตว์ อาจลดโทน ลดความรุนแรง ความหยาบๆ คายๆ ลงมาได้มั่ง แม้ไม่ถึงกับปิยวาจา สัมมาวาจา ก็เถอะ แต่น่าจะช่วยให้ความเจ็บปวด รวดร้าวทรมาน อันเนื่องมาจากการ เบียดเบียนผู้อื่น โดยทางกาย วาจา ใจ มันพอได้ลดๆ ลงมาบ้าง ยิ่งถ้าหากสามารถทำให้การ หยุดคิด ที่ว่า เป็นไปโดย อัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาไปนับหนึ่งถึงสิบ ก็ยิ่งดีไปใหญ่ โดยจะทำได้มาก-น้อยแค่ไหน อันนั้น...คงต้องขึ้นอยู่กับการ ฝึก ที่แต่ละคน แต่ละราย ต้องไปลงทุน ลงแรงกันเอาเอง โดยเฉพาะถ้าอยากได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองปรารถนาและต้องการ ไม่ว่ารูปหนึ่ง รูปใด...

                                                                             -----------------------------------------------------------

      ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อ เทคโนโลยี มันกลายเป็นแรงกระตุ้น ให้เกิดอาการ ไร้สติ มากยิ่งเข้าไปทุกที การอาศัย สติ เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง ยิ่งมีความจำเป็น และมีความสำคัญยิ่งเข้าไปเท่านั้น โดยเฉพาะช่วงปีใหม่-ฟ้าใหม่ ปีที่อาจไม่ใช่แค่ เผาหลอก แต่หนักไปทาง เผาจริง ก็ยิ่งมีแต่ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า สติ นั่นแหละ เป็นเครื่องยับยั้งไม่ว่าจะฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนก็ตามแต่ ด้วยเหตุนี้...จึงหนีไม่พ้นต้องนำมามอบเป็นของขวัญ ของกำนัล ต่อบรรดา เพื่อนผู้ร่วมวัฏสงสาร ทั้งหลายไปตามสภาพ...

                                                                              --------------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Sanskrit proverb... Four things come not back: The spoken word: the speed arrow: time past: the neglected opportunity.- สี่สิ่งนี้ไปแล้วไม่กลับ...คำพูดที่ออกจากปาก, ลูกศรที่ยิงไปแล้ว, เวลาที่ผ่านไป, และโอกาสที่ล่วงเลย...

                                                                                --------------------------------------------------------

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"