ซักฟอกเน้นอัดแก้โควิด ยุ'ม็อบ3นิ้ว'ชุมนุมไล่ต่อ


เพิ่มเพื่อน    


    ฝ่ายค้านไม่สนติดเชื้อลามหนัก ยุม็อบสามนิ้วอย่าให้โควิดสกัดศรัทธาประชาธิปไตย เชื่อชุมนุมใหญ่บี้ "บิ๊กตู่" ลาออก  คัมแบ็กเร็ววันนี้ ซูเปอร์โพลอ้างผลสำรวจช่วงเม.ย.63-ม.ค.64 ฐานสนับสนุนรัฐบาลเพิ่มพรวด “ไพบูลย์” ไม่ตกขบวน ยกชั้น "ประยุทธ์" ผู้นำโลกอันดับหนึ่งชนะ covid
    ความชัดเจนเรื่องการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ก่อนปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่คาดว่าเรื่องการระบาดโควิด-19 รอบสอง จะเป็นประเด็นหลักในการซักฟอกรอบนี้
     เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และเลขานุการประธานรัฐสภา กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจคือหนึ่งในกระบวนการที่สำคัญในการตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตย เป็นหน้าที่ที่สำคัญของฝ่ายค้าน เชื่อว่าฝ่ายรัฐบาลก็พร้อมชี้แจง รัฐมนตรีคนใดที่ถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก็มีหน้าที่ต้องชี้แจง ส่วนรัฐมนตรีของพรรค 7 คนไม่มีความกังวล เพราะยึดหลักซื่อสัตย์ สุจริต ในการทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์
     ส่วนช่วงของเวลาในการยื่นญัตติ เป็นดุลพินิจของฝ่ายค้านที่จะมีการพูดคุยกัน และจะมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีคนใดบ้างก็เป็นเรื่องของฝ่ายค้าน หากมีการยื่นรัฐมนตรีในส่วนของพรรคก็พร้อมชี้แจงด้วยข้อมูลที่ตรงไปตรงมา ข้อมูลประกอบการอภิปรายของฝ่ายค้านสำคัญที่สุด รวมถึงข้อมูลชี้แจงของฝ่ายรัฐบาลก็ต้องมาสู้กันในสภา ทุกคำพูด ทุกความเป็นจริง ทุกคนทุกฝ่ายต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ท้ายที่สุดประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน
     ด้านฝ่ายรัฐบาล นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวเช่นกันว่า การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นสิทธิ์ของฝ่ายค้านที่ยื่นได้ปีละครั้ง ถ้าไม่ยื่นจะเสียสิทธิ์ได้ ซึ่งประเด็นที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจมันยังไม่ได้ ยังไม่มีเพียงพอ แต่จำเป็นต้องยื่นเพื่อรักษาสิทธิ์ ดังนั้นจึงไม่หนักใจเลย เพราะไม่ได้มีปัญหาอะไร มีแต่ผลงานที่ดีที่จะทำให้ทางซีกรัฐบาลได้ชี้แจงเรื่องต่างๆ ออกไปให้ประชาชนได้รับทราบ รวมทั้งชี้แจงผลงานไปในตัวด้วย ดีกว่าการปล่อยให้ฝ่ายค้านไปให้ข่าวบิดเบือนใส่ร้ายกันอยู่ฝ่ายเดียว การมาพูดในสภาจะได้โต้ตอบและชี้แจงข้อเท็จจริงกัน
    เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านเตรียมพุ่งเป้าประเด็นความล้มเหลวการบริหารงาน การจัดการเศรษฐกิจ และเรื่องโควิด-19 นายไพบูลย์กล่าวว่า การที่ฝ่ายค้านจะยกประเด็นนี้มาอภิปราย ประชาชนที่ฟังอยู่จะเข้าใจว่าฝ่ายค้านไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่เข้าใจสถานการณ์ รัฐบาลไทย โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้บริหารประเทศที่บริหารเรื่องสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกอยู่แล้ว
    “การโจมตีด้วยประเด็นนี้ถือว่าฝ่ายค้านไม่ฉลาดเลย เพราะเป็นประเด็น เป็นผลงานที่แข็งที่สุดของ พล.อ.ประยุทธ์ เรียกว่าติดอันดับโลก” รองหัวหน้าพรรค พปชร.ระบุ
    นายไพบูลย์ยังกล่าวถึงการที่ฝ่ายค้านจะขอใช้สิทธิ์อภิปราย 5-7 วันว่า ต้องดูองค์ประชุมด้วย ซึ่งฝ่ายค้านมักจะองค์ประชุมไม่ครบอยู่เรื่อย จะมีแต่ผู้มาร่วมอภิปรายเท่านั้นเอง จะเป็นปัญหาของฝ่ายค้านเสียเอง ดังนั้นเรื่องนี้ฝ่ายค้านก็คงต้องหารือกับทางวิปรัฐบาล
    นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะทำงานเตรียมการการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า จะมีประเด็นหลักคือการแก้สถานการณ์โควิดที่ผิดพลาดของรัฐบาล เรื่องนี้เกี่ยวโยงไปทั้งการบริหารสถานการณ์ที่ผิดพลาด ปล่อยให้มีการระบาดรอบใหม่ การบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดจนประชาชนได้รับความเดือดร้อน รวมถึงเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องความมั่นคงที่ปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้าแรงงานผิดกฎหมาย นำเชื้อเข้ามาและปล่อยให้มีบ่อนการพนันเป็นแหล่งแพร่เชื้อ ทั้ง 3 เรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ เพราะคุมทั้ง ศบค. คุมตำรวจทหาร และเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอง จะไปโทษคนอื่นไม่ได้ เพราะมันชัดเจนว่านายกฯ บริหารล้มเหลวจนชาวบ้านเดือดร้อน 
      นายยุทธพงศ์กล่าวว่า นอกจากเรื่องโควิดแล้วยังจะมีการอภิปรายเกี่ยวกับการทุจริตของรัฐบาลด้วย อาทิ โครงการอีอีซี และการต่อสัญญารถไฟสายสีเขียว ส่วนใครจะเป็นผู้อภิปรายนั้นคงต้องหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นก่อน เพื่อดูเนื้อหาที่แต่ละพรรคจะอภิปรายว่ามีเรื่องไหนเกี่ยวโยงกันหรือไม่ แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านจะประชุมเรื่องนี้กันวันที่ 15 ม.ค. ที่จะถึงนี้ แล้วจะยื่นญัตติสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ม.ค. หลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลว่าจะให้อภิปรายเมื่อไหร่ เพราะฝ่ายค้านพร้อมอยู่แล้ว
    พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวถึงการแก้ปัญหาโควิดในขณะนี้ว่า เมื่อรัฐบาลสืบทอดอำนาจเน้นใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือหลักในการแก้ไขปัญหา เจ้าภาพการจัดการ จึงเป็นฝ่ายความมั่นคง แต่หน่วยงานความมั่นคงกลับเป็นต้นเหตุการแพร่ระบาดโควิดเสียเอง โดยเฉพาะการปล่อยปละละเลยให้แรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายเข้ามาแพร่เชื้อในประเทศ ละเลยให้เกิดบ่อนการพนันแล้วนักพนันติดโควิดแพร่เชื้อไปทั่ว ความย่อหย่อนดังกล่าวได้ถูกประชาชนครหาว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ไปรับส่วย แทนที่จะเร่งกู้ภาพพจน์ ระดมใช้ทรัพยากรต่างๆ ของกองทัพเข้ามาคลี่คลายวิกฤติโควิด เช่น มอบพื้นที่และสถานที่หน่วยทหารไปช่วยเหลือพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดให้ใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม พร้อมจัดบุคลากรทางการแพทย์และกำลังพลของกองทัพเข้าร่วมสนับสนุนอย่างทันท่วงทีก็ไม่กระทำกัน จึงถูกมองว่าเป็นกองทัพที่เหินห่างประชาชน
    “อำนาจอธิปไตยของประชาชนที่ถูกยึดไปตั้งแต่ปี 57 โดยรัฐบาลสืบทอดอำนาจได้กอดคอกับกลุ่มทุนผูกขาดธุรกิจและฝ่ายความมั่นคง กดหัวประชาชน และง่ายต่อการครองอำนาจ แต่เวลานี้ประชาชนเหลืออด รู้เท่าทัน มองทะลุว่าทางออกของประเทศนี้ต้องมุ่งสู่การทำความเหลื่อมล้ำให้หดหาย และทำความเป็นธรรมให้สว่างไสว การทำเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมต้องเริ่มด้วยการขับนายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจผู้นำแห่งความเหลื่อมล้ำออกจากตำแหน่งไปก่อน โควิดมิอาจหยุดศรัทธาประชาธิปไตย การชุมนุมใหญ่รูปแบบใหม่ๆ ของคณะราษฎรร่วมกับภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ เพื่อผลักดันให้นายกรัฐมนตรีลาออกจะเกิดขึ้นอีกในเร็ววันนี้ และต่อเนื่องจนกว่าจะบรรลุข้อเรียกร้อง แล้วเมื่อนั้นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมืองก็จะตามมา” พล.ท.ภราดรกล่าว
      วันเดียวกันนี้ นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล นำเสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่อง เที่ยวปลอดภัย อยู่พ้น โควิด กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,839 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 6-9 มกราคม ที่ผ่านมา
    โดยผลสำรวจดังกล่าว ในคำถามถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือธงนำใช้ท่องเที่ยวปลอดภัย รอดพ้นโควิด แก้วิกฤติเศรษฐกิจ เพิ่มเงินในกระเป๋าของประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.0 เชื่อมั่น ในขณะที่ร้อยละ 13.0 ไม่เชื่อมั่น
    นายนพดลกล่าวอีกว่า ที่น่าสนใจคือแนวโน้มจุดยืนการเมืองของประชาชนตั้งแต่เมษายน 2563 ถึงเดือนมกราคม 2564 พบว่า ฐานสนับสนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 35.7 ในช่วงปลายปี 2563 มาอยู่ที่ร้อยละ 53.6 ในช่วงต้นเดือนมกราคม 2564 ในบรรยากาศที่ยังไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่าของการแก้วิกฤติโควิดและเศรษฐกิจชาติ อย่างไรก็ตาม กลุ่มพลังเงียบเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน จากร้อยละ 32.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 39.0 แต่ฐานไม่สนับสนุนรัฐบาลลดต่ำลงจากร้อยละ 31.4 เหลือร้อยละ 7.4 ในการสำรวจครั้งล่าสุด ซึ่ง ผลโพลนี้ชี้ให้เห็นว่าประชาชนเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี จะนำพาประเทศชาติพ้นวิกฤติโควิดและเศรษฐกิจได้. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"