ไฟเขียวใช้กำลัง! ผบ.ตร.ฮึ่ม!อะไรเกิดก็เกิดหลัง3นิ้วปลดธงชาติ/เตรียมจับกราวรูด


เพิ่มเพื่อน    

ผบ.ตร.ฮึ่ม! ถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังก็ต้องใช้ อะไรจะเกิดต้องเกิด รับผิดชอบ ไม่ทอดทิ้งกัน หลังม็อบ 3 นิ้วชักธงชาติลงเปลี่ยนเป็นธงแดง ม.112 ขึ้นแทน เตรียมออกหมายเรียกกราวรูด ข้อหาเป็นเข่ง ผิด พ.ร.บ.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ  พ.ร.บ.ธงชาติ ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ทำให้เสียทรัพย์ ดูหมิ่น  "โฆษกรุ้ง" เทพวกเดียวกัน
    เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 มกราคม 2564 ที่ห้องประชุมชั้น 3 สภ.คลองหลวง ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.สุรพงษ์ ถนอมจิตร รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.ชยุต มารยาทตร์ ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี เดินทางมาประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง โดยมี พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนและตำรวจสืบสวนภูธรจังหวัดปทุมธานี และที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม เกี่ยวกับเรื่องที่มีการ์ดของผู้ชุมนุมนำธงชาติลง แล้วเปลี่ยนผ้าแดงเขียนเลข 112 ขึ้นสู่ยอดเสาแทน โดยการประชุมใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งจึงแล้วเสร็จ
    พล.ต.อ.สุวัฒน์เปิดเผยว่า วันนี้มาด้วยวัตถุประสงค์ 3 เรื่อง โดยเรื่องแรกที่ชาวบ้านตั้งคำถามว่าปล่อยให้เกิดเหตุแบบนี้ได้อย่างไรต่อหน้าต่อตา เรื่องที่สองจะป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการแบบนี้ และเรื่องที่สามคนที่ทำผิดจะต้องโดนอะไรบ้าง  
    โดยเรื่องแรกจะต้องยอมรับว่ายุทธวิธีของผู้ที่กระทำผิดต้องการสร้างพื้นที่ข่าว ซึ่งก็ต้องยอมรับเขาทำได้ดี ภาพที่ตำรวจจะชักธงลงก็กลายเป็นภาพตำรวจยืนดู ซึ่งจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าที่มีกำลังพร้อมอยู่ เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นเพราะว่าเราอยู่บนพื้นฐาน ในหลักคิดที่จะไม่ใช้กำลังโดยไม่จำเป็น และหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่ว่าผู้บังคับบัญชาทุกระดับตั้งแต่ตนลงมาก็จะต้องมาพบปะทำความเข้าใจกับลูกน้องว่าเรื่องแบบนี้จะให้เกิดอีกไม่ได้
    "ถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังก็ต้องใช้ อะไรจะเกิดต้องเกิด และพวกเราก็ยอมรับผิดและรับผิดชอบ เราไม่ทอดทิ้งกัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะมันกระทบกระเทือนของความรู้สึกคนทั้งประเทศ ซึ่งอาจจะเพลี่ยงพล้ำในพื้นที่การข่าวก็ว่าไป แต่อย่างที่บอกว่าสงครามมันยังไม่จบอย่าพึ่งนับศพทหาร"
    เรื่องที่สอง จะป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ต้องมาปรับการทำงาน โดยเฉพาะตำรวจระดับเล็กจะไม่มั่นใจในอำนาจหน้าที่ ในบทบาทในเรื่องของกฎหมาย ยังไม่แตกฉานเพียงพอ อาจจะไม่แน่ใจตรงนี้ และผู้บังคับบัญชาที่อยู่ก็อาจจะอยู่บนพื้นฐานที่ไม่อยากจะใช้กำลังโดยไม่จำเป็น ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องปรับความคิดกันใหม่ ให้ความรู้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งตรงนี้จริงๆ ก็ทำกันมาตลอด รวมถึงเรื่องยุทธวิธีด้วย แต่ว่าก็จะต้องทำให้เข้มข้นขึ้นว่าเขาจะทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ ยุทธวิธีควรจะเป็นอย่างไร แล้วเราก็จะต้องเอาบทเรียนมาถอด
    ส่วนเรื่องที่ 3 ใครจะต้องโดนอะไรบ้าง เราก็จะอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายอยู่แล้ว เพียงแต่เราก็จะต้องเร่งรัด และทำให้กระจ่างให้สังคมเห็นว่าต้องรวดเร็ว โดยยึดหลักความเป็นนี่แหละต้องรวดเร็ว และก็ต้องให้ครบถ้วนทุกข้อหาและทุกคนด้วย ตนก็ต้องไปเดินสายทำความเข้าใจกับตำรวจทั่วประเทศด้วยเหมือนกัน โดยเอาบทเรียนตรงนี้ไปให้ความคิดให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่และผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น และทำให้ลูกน้องมั่นใจว่าเรารับผิดชอบในสิ่งที่เราสั่ง และขอให้เขามั่นใจในสิ่งที่เขาทำ เพราะเราไม่ได้สั่งให้เขาทำอะไรนอกอำนาจหน้าที่ แค่ให้รู้ว่าอะไรทำได้ และเมื่อจำเป็นต้องใช้กำลัง ก็อย่าลังเลต้องทำ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ต้องออกหมายเรียกทุกคน
    โดยในเบื้องต้นเรื่องผู้กระทำผิดเราต้องออกหมายเรียกทุกคน ซึ่งจากที่ฟังพนักงานสอบสวน ก็จะมีกฎหมายอยู่หลายฉบับ มีเรื่องเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ฉุกเฉิน, พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ และ พ.ร.บ.ธงชาติ มีเรื่องการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เรื่องของการทำให้เสียทรัพย์ และก็เรื่องของการดูหมิ่น ในส่วนของเยาวชน ทางตำรวจมีกฎหมายเยาวชนชัดเจนอยู่แล้ว วิธีการปฏิบัติต่อเยาวชน ซึ่งแตกต่างจากผู้ใหญ่ ก็ขอให้มั่นใจเราไม่ทำอะไรนอกอำนาจ ส่วนหลังจากออกหมายเรียกแล้ว ก็จะมีขั้นตอนเกี่ยวกับเรื่องของการสอบสวนดำเนิคดีต่อไป ซึ่งในส่วนของความบกพร่องนั้น ตนเชื่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาตั้งใจทำงาน แต่ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นก็ต้องเป็นบทเรียน และเราต้องดูคนของเราให้พร้อมรับมือทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ในส่วนของมวลชนที่จะมาปักหลักติดตามให้กำลังใจผู้ที่ถูกออกหมายเรียกและเข้ามารายงานตัวนั้น ทางตำรวจก็จะมีมาตรการที่ดีกว่านี้
    ทั้งนี้ เมื่อคืนวันศุกร์ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. เดินทางมาประชุมรับทราบข้อเท็จจริงกรณีมีกลุ่มมวลชนมาร่วมชุมนุมบริเวณหน้า สภ.คลองหลวง เพื่อกดดันการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
        เหตุการณ์ดังกล่าวได้มีการนำธงชาติลงจากยอดเสา และนำเอาผ้าสีแดงคล้ายธง มีข้อความว่า "112" ขึ้นสู่ยอดเสาแทน ซึ่งการกระทำในลักษณะนี้ถือว่าเป็นกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ถือว่าเข้าข่ายการกระทำที่ผิดกฎหมาย ข้อหาฝ่าฝืนการใช้ ชัก หรือแสดงธงที่มีความหมายถึงประเทศไทย หรือชาติไทย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ธง พ.ศ.2522 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
    นอกจากนี้แล้วยังมีการฉีดพ่นสีสเปรย์บนสถานที่ราชการ และมีการชูป้ายผ้า มีข้อความที่เข้าข่ายดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ซึ่งหากพิสูจน์ทราบได้ใครเป็นผู้กระทำ ก็จะต้องออกหมายเรียกมาดำเนินคดีในข้อหาทำให้เสียทรัพย์และดูหมิ่นเจ้าพนักงานด้วย
    สำหรับการที่มวลชนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากในช่วงนี้นั้นเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งพบว่าไม่ได้มีการขออนุญาตจากเจ้าพนักงาน และไม่มีมาตรการทางสาธารณสุข ซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ซึ่งก็จะเข้าข่ายมีความผิดตามข้อกำหนด ซึ่งออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งห้ามมิให้มีการชุมนุม ทำกิจกรรม หรือการมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัดฯ ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งผู้ที่มาร่วมชุมนุมจะถือว่ามีความผิดทุกคน เว้นแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา เช่น ทนายความ ญาติ หรือบุคคลที่ผู้ต้องหาร้องขอให้มาร่วมรับฟังการสอบสวน ซึ่งคาดว่าทางพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกผู้กระทำผิดที่พิสูจน์ทราบชื่อในวันพรุ่งนี้ จึงฝากเตือนกลุ่มความเห็นต่างว่า การใช้สิทธิเสรีภาพขอให้คำนึงหลักกฎหมาย อย่าเกินกรอบกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีหน้าที่รักษากฎหมายจึงมีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายไม่มีข้อยกเว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ซึ่งกำลังมีปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด
      รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.ต.สหรัฐ ศักดิ์ศิลปชัย รอง ผบช.น. ปฏิบัติราชการแทน ผบช.น. มีวิทยุในราชการกองบัญชาการตำรวจนครบาล ด่วนที่สุด ลงวันที่ 15 มกราคม 2564 ใจความว่าเพื่อให้การปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัย รักษาความสงบเรียบร้อย และจัดการจราจร การชุมนุมสาธารณะ ในวันที่ 17-20 มกราคม 2564 เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ จึงให้ดำเนินการดังนี้ 1.ชุดเคลื่อนที่เร็วประจำจุด สโมสรตำรวจ จำนวน 2 กองร้อย 2.ชุดเคลื่อนที่เร็วระลอกที่ 1 จำนวน 2 กองร้อย 3.ชุดเคลื่อนที่เร็วระลอกที่ 2 จำนวน 2 กองร้อย 4.ชุดเคลื่อนที่เร็วระลอกที่ 2 จำนวน 3 กองร้อย 5.ชุดเคลื่อนที่เร็วระลอกที่ 2 จำนวน 3 กองร้อย 6.คฝ.หญิง บช.น.ให้ทั้งหมดเตรียมพร้อม ณ ที่ตั้ง โดยให้ปฏิบัติหน้าที่เวรยามตามปกติ และพร้อมปฏิบัติเมื่อสั่งภายใน 3 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังให้จัดเตรียมรถติดตั้งเครื่องขยายเสียงพร้อมพลขับ จำนวน 2 คัน, รถควบคุมผู้ต้องหาขนาดใหญ่ พร้อมพลขับ จำนวน 4 คัน, รถควบคุมผู้ต้องหาขนาดเล็ก พร้อมพลขับ จำนวน 8 คัน โดยให้แต่งกายชุดเวส หมวกปราบจลาจล พร้อมเตรียมอุปกรณ์ประจำกาย ประจำกองร้อย ไฟฉาย เสื้อกันฝน และสวมใส่หน้ากากอนามัย
รวบกลุ่มการ์ดปลดแอก
    เมื่อเวลา 12.00 น. วันเสาร์  ที่ลานวิคตอรี่พอยท์ เกาะพญาไท อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กลุ่มการ์ดปลดแอก หนึ่งในแนวร่วมสำคัญของม็อบราษฎร นัดหมายมวลชนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อรวมตัวกันจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ "ร่วมกันเขียนป้ายความยาว 112 เมตร กับความทุเรศของรัฐบาล" โดยทางกลุ่มได้นำป้ายผ้าดิบสีขาว ความยาว 112 เมตรมากาง แล้วให้มวลชนที่เห็นต่างกับรัฐบาลร่วมกันเขียนข้อความบอกเล่าความในใจกับความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีมวลชนทยอยเดินทางมาร่วมกิจกรรม
    อย่างไรก็ตาม ต่อมาในเวลา 12.19 น. พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ รักษาราชการ ผบก.น.1 และ พ.ต.อ.บวรภพ สุนทรเรขา ผกก.สน.พญาไท ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบและชุดกองร้อยควบคุมฝูงชน บุกเข้าสลายการชุมนุมทำกิจกรรมนี้ โดยทางผู้ชุมนุมกลุ่มไม่ทันได้ตั้งตัว ทำการเข้ายึดแผ่นป้ายผ้าดิบของผู้ชุมนุม และเข้าจับกุมผู้ร่วมกิจกรรมส่วนหนึ่งขึ้นรถควบคุมผู้ต้องหาไปยัง สน.พญาไท สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ที่เข้ามาร่วมกิจกรรมที่เหลือ พากันกรูเข้าไปด่าทอเจ้าหน้าที่ด้วยความโกรธแค้น มีการกระทบกระทั่งชุลมุน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าแถวเป็นวงกลมเพื่อล้อมรอบพื้นที่และผลักดันผู้ร่วมชุมนุมไม่ให้เข้ามารวมตัวกัน
    โดย ผกก.สน.พญาไท ได้ประกาศแจ้งให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทราบว่าเป็นการรวมตัวกันที่ผิดกฎหมายและฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินในช่วงแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งระหว่างกันมวลชนไม่ให้รวมตัวกัน ผู้ชุมนุมหลายคนแสดงความไม่พอใจถึงขั้นถอดกางเกงโชว์ของลับประชดเจ้าหน้าที่ บ้างก็เข้าไปชี้หน้าด่าทอ ทุบที่บริเวณเป้ากางเกงของตำรวจ อย่างไรก็ตาม หลังจากควบคุมเหตุการณ์ได้ ยังคงมีผู้ชุมนุมวัยรุ่นทยอยเข้ามาสมทบต่อเนื่อง และมีการกระทบกระทั่งกันเป็นระยะ ทำให้ พ.ต.อ.อรรถวิทย์สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดถอนกำลังออกจากบริเวณดังกล่าว พร้อมชี้แจงกับสื่อมวลชนว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำตามหน้าที่ เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงการห้ามรวมตัวกันเนื่องจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
    ขณะที่นายกิตติ์พิวัฒน์ สีบุญเรือง หรือ บก.เอ็ม แกนนำกลุ่มภาคีการ์ดเพื่อประชาธิปไตย เผยว่า มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมถูกควบคุมตัวไปที่ ตชด.ภาค 1 จำนวน 2 คน กิจกรรมนี้ทางกลุ่มเพียงต้องการแสดงออกถึงความไม่พอใจในการบริหารงานของรัฐบาล แต่เจ้าหน้าที่กลับอ้างกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินเข้ามาจับกุมและใช้ความรุนแรงจนทำให้มีผู้บาดเจ็บ เท่ากับว่ารัฐบาลจงใจใช้กฎหมายโรคระบาดมาควบคุมการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องรับผลที่จะตามมา ยืนยันจะต้องมีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมอย่างแน่นอน
    ด้าน น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Panusaya Sithijirawattanakul ระบุว่า ในฐานะโฆษกอย่างเป็นทางการของกลุ่ม "ราษฎร" ขอชี้แจงให้ประชาชนทุกท่านทราบว่าการประกาศรวมตัวที่สามย่านที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากกลุ่มราษฎร หรือแกนนำคนใด
         จึงเรียนมาเพื่อขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังข้อมูลข่าวสาร และติดตามการประกาศและการเคลื่อนไหวของเราได้ทางเพจของแกนนำ และเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม - United Front of Thammasat and Demonstration จนกว่าจะมีการประกาศเพจของราษฎรอย่างเป็นทางการเท่านั้นค่ะ
"รุ้ง"เทพวกเดียวกัน
         และอย่างไรก็ตาม การชุมนุมการทางเมืองโดยสงบเป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหยุดใช้ความรุนแรงกับประชาชนโดยทันที
         น.ส.ปนัสยายังคอมเมนต์เพิ่มเติมว่า "ที่ต้องออกมาชี้แจงเนื่องมาจากโพสต์ของเพจนี้ค่ะ นี่ไม่ใช่เพจของเรา และเกรงว่าทุกคนจะสับสนได้ค่ะ" โดยแคปหน้าจอเพจ "คณะราษฎร" ซึ่งเป็นรูปโปรไฟล์หมุดคณะราษฎร 2563 เขียนข้อความว่า ประกาศรวมพลที่สามย่าน
         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ "คณะราษฎร" เป็นแนวร่วมม็อบ 3 นิ้วเนื่องจากแอดมินเพจได้ถูกจับกุมคดี 112 จากกรณีขายปฏิทินเป็ดยางโดยแอบอ้างและล้อเลียนปฏิทินพระราชทาน
    นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ได้กำชับกองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ปท.) และกองกฎหมายฯ กระทรวงดิจิทัลฯ ให้ดำเนินการติดตามตรวจสอบผู้กระทำความผิดโพสต์ข้อความไม่เหมาะสมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทางสื่อสังคมออนไลน์ และรวบรวมหลักฐานยื่นแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) อย่างต่อเนื่อง
    นายพุทธิพงษ์?กล่าวว่า โดยทางกองกฎหมายฯ กระทรวงดิจิทัลฯ ได้แจ้งความเอาผิดผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  มาตรา 14 ในช่วงวันที่ 4-15 ม.ค.2564 รวม 11 URLs เป็นผู้กระทำความผิดทาง Facebook 9 URLs และทาง YouTube 2 URLs พบชื่อบัญชีผู้กระทำความผิด อาทิ บัญชีเฟซบุ๊ก เพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, บัญชี Pavin Chachavalpongpun (นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์) และยูทูบแชนเนล ชื่อ FAIYEN CHANNEL (วงไฟเย็น) ที่เข้าข่ายกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  มาตรา 14 โพสต์พาดพิงสถาบันหลักของชาติ
    ขณะเดียวกัน ปท.สรุปคำสั่งศาล ในช่วงเดียวกัน พบมีการกระทำผิดจำนวน 9 คำสั่งศาล รวม 136 URLs (รายการ) โดยมีทั้ง Facebook, YouTube, Twitter และเว็บอื่นๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังคงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างต่อเนื่องจริงจัง
    "ฝากแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ขอให้ใช้วิจารณญาณในการใช้งาน ไม่โพสต์หรือแชร์ส่งต่อข้อความที่ไม่เหมาะสม เพราะจะถือเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ด้วยเช่นกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถติดตามตรวจสอบพิสูจน์ตัวตนได้ทั้งหมด" รัฐมนตรีดีอีเอสระบุ.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"