นักวิชาการชี้รถเมล์ต้นเหตุก่อฝุ่น PM 2.5


เพิ่มเพื่อน    

 

25ม.ค.63-นายวันชัย รัตนวงษ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัย และพัฒนาโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่าหากพิจารณาภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อยฝุ่น PM 2.5พบว่ามีอัตราการปล่อยฝุ่นที่ใกล้เคียงกัน โดยภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 40% ขณะที่ภาคขนส่งอยู่ที่ประมาณ 30-40% ซึ่งในส่วนของภาคขนส่ง ประกอบด้วยทั้งรถโดยสารสาธารณะ และรถบรรทุก ที่เป็นตัวการสำคัญของการปล่อยควันดำออกจากท่อไอเสีย ทำให้เกิดมลพิษทำลายสุขภาพของประชาชน แต่หากพิจารณาเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะพบว่า รถโดยสารสาธารณะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดปัญหา PM 2.5 เพราะรถบรรทุกส่วนใหญ่จะวิ่งอยู่รอบนอกเมือง 

 นายวันชัย กล่าวว่า หากย้อนไปดูข้อมูลรถเมล์ของ ขสมก. ที่วิ่งให้บริการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า ปัจจุบันมีประมาณกว่า 3,000 คัน โดยในจำนวนนี้ได้ถูกเปลี่ยนจากระบบน้ำมัน มาเป็นระบบก๊าซ NGV แล้วประมาณ 400-500คัน นอกจากนี้ในจำนวนรถเมล์กว่า 3,000 คัน ยังพบว่าเป็นรถเมล์ที่มีสภาพเก่า และมีอายุการใช้งานมานานอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งรถเมล์เหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องเปลี่ยนให้เป็นรถเมล์ใหม่ทั้งหมด เพราะประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ได้ลดน้อยลงไปแล้ว แต่เข้าใจว่าเนื่องจากรถเมล์ทำแล้วยังขาดทุนอยู่ จึงทำให้รัฐอาจไม่อยากเสียงบประมาณในส่วนนี้เพื่อไปลงทุน เพราะเปลี่ยนไปก็ขาดทุนอยู่ดี แต่หากคิดแบบนี้และปล่อยรถให้เก่าผุพังปล่อยควันพิษต่อไป ก็จะทำให้ประชาชนเจ็บป่วย และสุดท้ายรัฐบาลต้องเสียงบประมาณเพื่อใช้ในการรักษาคนอยู่ดี 

 “ผมเห็นด้วยกับแผนฟื้นฟูกิจการของ ขสมก. ซึ่งมีการบรรจุเรื่องการจัดหารถเมล์ใหม่ ที่เป็นรูปแบบรถเมล์ไฟฟ้า(อีวี) ไว้ในแผนพื้นฟูฯ ด้วย เพราะแม้ ขสมก. จะขาดทุนที่มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเก็บค่าโดยสารราคาถูก แต่ก็ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องส่งเสริม และสนับสนุนให้ประชาชนได้รับการบริการที่ดี และมีประสิทธิภาพมากที่สุด อย่างไรก็ตามหากได้รับการสนับสนุนให้จัดหารถเมล์ใหม่เป็นระบบอีวีจริง ขสมก.ควรพิจารณาความคุ้มค่าขององค์กรด้วย หากไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และยังเก็บค่าโดยสารที่ถูกเกินไป อาจทำให้ขาดทุนเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องปรับให้สูงจนทำให้มีกำไร แต่อยากให้เป็นราคาที่เหมาะสมยอมรับได้ทั้งผู้ใช้บริการ และผู้ให้บริการ”นายวันชัย กล่าว 

 นายวันชัย กล่าวว่า การเปลี่ยนรถเมล์เก่าเป็นเรื่องที่จำเป็นจริงๆ ที่ ขสมก.ควรต้องเร่งดำเนินการ แต่การจะเปลี่ยนนั้น ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนยกล็อตทีเดียวทั้งหมด อาจจะทยอยเปลี่ยนก็ได้ จะได้ไม่เป็นภาระงบประมาณมากเกินไป โดยให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญเปลี่ยนรถเมล์ที่มีอายุการใช้งานมากๆ ก่อน เพราะในหลายประเทศ เช่น ไต้หวัน รถเมล์ที่ใช้น้ำมันที่มีอายุการใช้งานประมาณ 7 ปี จะได้รับการเปลี่ยนใหม่ แต่ปัจจุบันรถเมล์ที่วิ่งในกรุงเทพฯ มีอายุกว่า 10-20 ปีแล้วยังไม่ได้รับการเปลี่ยนใหม่ จึงถึงเวลาแล้วที่ควรโละทิ้งและเปลี่ยนใหม่ให้เป็นรถเมล์พลังงานสะอาดทั้งหมด 

 ด้านนายสุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า เชื่อว่าหากแผนฟื้นฟูฯ ขสมก. ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) จะเกิดประโยชน์กับทั้ง ขสมก. และประชาชน ซึ่งเท่าที่ดูเบื้องต้นในหลักการถือเป็นแผนฟื้นฟูฯ ที่ดี โดยเฉพาะการการจ้างเอกชนวิ่งรถโดยสารตามระยะทางที่ให้บริการ โดยจ่ายค่าจ้างเป็นกิโลเมตร (กม.)  เพราะ ขสมก. จะได้ไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าซ่อมบำรุง และค่าเสื่อมสภาพของรถโดยสารจำนวนมากเหมือนในปัจจุบัน 

 นอกจากนี้การจัดหารถเมล์ใหม่ใช้พลังงานไฟฟ้ามาให้บริการ มั่นใจว่าจะตรงกับความต้องการของประชาชน และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บริการให้ประชาชน ไม่ต้องทนกับการนั่งรถเมล์ผุพังสูดควันพิษอีกต่อไป แต่ทั้งนี้เมื่อมีรถเมล์ใหม่แล้วควรควบคุมเรื่องคุณภาพการบริการด้วย

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"