'พิธา' อัดญัตติด่วนไพบูลย์-สมชาย สุดเลวร้าย หวังดึงศาลเป็นนั่งร้านค้ำยันรัฐธรรมนูญ คสช.


เพิ่มเพื่อน    

9 ก.พ.64 - ที่รัฐสภา มีประชุมร่วมสองสภาเพื่อพิจารณาญัตติด่วนขอมติจากรัฐสภา ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) ที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และนายสมชาย แสวงการ ส.ว. พร้อมคณะเสนอ

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายในประเด็นนี้ว่า ตลอดระยะเวลาประมาณหนึ่งปีครึ่งที่รัฐสภาแห่งนี้ทำงาน เราเห็นความพยายามยื้อเวลาเตะถ่วงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่เป็นระยะ ตั้งแต่การตั้ง กมธ.ศึกษาหลักเกณฑ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ของสภาผู้แทนราษฎร, การตั้งกมธ.พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการฯ ของรัฐสภา แต่ในที่สุดรัฐสภาก็สามารถผ่านวาระ 1 รับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้มี สสร. ได้ แม้เนื้อสาระและรูปแบบที่จะแก้อาจจะไม่น่าพอใจ แต่สมาชิกพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งฝ่ายรัฐบาลก็เห็นตรงกันว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่น่าเสียดายที่กระบวนการที่ควรดำเนินไปอย่างปกติของรัฐสภา กลับต้องเกิดความไม่แน่นอนขึ้น เมื่อมีการเสนอญัตตินี้ เพราะเห็นว่า รัฐสภาไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีการตั้ง สสร. เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยประชาชนได้

"สิ่งที่ท่านกำลังทำไม่ใช่การถ่วงเวลา แต่มันเป็นญัตติที่เลวร้ายยิ่งกว่า เพราะนี่คือการหาหนทางตัดทอนอำนาจของรัฐสภาและของประชาชนในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปตลอดกาล เป็นความพยายามแช่แข็งประเทศไทย ด้วยการทำให้รัฐธรรมนูญของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นรัฐธรรมนูญฉบับนิรันดรของประเทศไทย โดยอ้างว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะทำได้ ก็ต่อเมื่อมีบัญญัติไว้ให้กระทำได้เท่านั้น ดังเช่นใน รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 หรือปี 2549 "

นายพิธา กล่าวต่อไปว่า เป็นเรื่องปกติที่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาแทนที่ตัวเอง แต่ในระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกันที่ประชาชนในฐานะผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ และรัฐสภาซึ่งรับอำนาจมาจากประชาชน สามารถใช้กระบวนการทางประชาธิปไตยจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาได้ ดังที่รัฐสภาของไทยเองก็เคยทำมาแล้วในกรณีรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475, ฉบับ 2489, และฉบับ 2540

การตีความว่า รัฐสภาจะมีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อมีบทบัญญัติกำหนดไว้แต่แรกดังเช่นในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ผ่านๆ มานั้นมีปัญหา เพราะรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่กล่าวอ้าง ล้วนเกิดขึ้นจากวงจรรัฐประหารทั้งสิ้น กล่าวคือ ทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ ทำรัฐธรรมนูญชั่วคราว ทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวรสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหาร  ถ้ายอมรับการตีความแบบนี้ หมายความว่า ประเทศไทยจะสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ก็ด้วยการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญเท่านั้นใช่หรือไม่ นี่คือความหมายที่แท้จริงของการยื่นญัตตินี้

นอกจากนี้ นายพิธา ยังระบุว่า อย่าใช้ตุลาการเพื่อเพิ่มปมขัดแย้ง อำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 210 (2) ที่ให้ “พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอํานาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ” เป็นบทบัญญัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรัฐธรรมนูญฉบับใด เช่น ในรัฐธรรมนูญ 2550 ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอำนาจของรัฐสภาได้ก็ต้องเกิดความขัดแย้งกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรอื่นๆ ก่อน เช่น รัฐสภากับคณะรัฐมนตรี หรือรัฐสภากับองค์กรอิสระ แต่บทบัญญัติมาตรา 210 (2) ตามรัฐธรรมนูญ 2560 แค่สมาชิกรัฐสภาเห็นว่าเป็นปัญหา โดยไม่ต้องมีความขัดแย้งระหว่างองค์กรผู้มีอำนาจก็สามารถยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เลย  อำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่เพิ่มเติมขึ้นมาใหม่นี้เป็นภาพสะท้อนของการออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 ที่พยายามขยายอำนาจตุลาการจนล้นเกิน เพื่อให้เข้ามามีบทบาทในการควบคุมกำกับการใช้อำนาจขององค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน นี่เป็นความพยายามสร้างระบอบ 'ตุลาการธิปไตย' หรือ ตุลาการเป็นใหญ่ ทำให้ดุลอำนาจสามฝ่ายอย่างที่ควรจะเป็น พิกลพิการไป

ทั้งนี้ นายพิธา ย้ำว่า เราต่างเรียนมาในตำราเล่มเดียวกันว่า ฝ่ายนิติบัญญัติคืออำนาจออกกฎหมาย ฝ่ายบริหารมีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย และฝ่ายตุลาการมีอำนาจตัดสินคดีตามกฎหมาย ทั้งสามอำนาจมีขึ้นเพื่อให้ระบอบการเมืองมีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เชื่อว่าทุกท่านเคยผ่านประสบการณ์มาแล้วว่า ที่ผ่านมาเมื่อมีอำนาจฝ่ายไหนไปล้ำเส้นของอีกฝ่าย บ้านเมืองจะวุ่นวายขนาดไหน

ปัจจุบันเครือข่ายคณะรัฐประหารก็สามารถยึดกุมอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาเพื่อพวกท่าน ยึดกุมระบบการเลือกตั้งได้ ยึดกุมรัฐสภาได้ พื้นที่ทางการเมืองเกือบทั้งหมดอยู่ในมือพวกท่าน แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ หากเกิดขึ้นจริงก็ยังเป็นที่กังวลว่าจะอยู่ในมือของพวกท่านอีก แต่ก็ยังจะใช้สถาบันตุลาการเป็นเครื่องมือเพื่อกินรวบพื้นที่ทางการเมืองทั้งหมด  หากยังดื้อดึง ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำรงอยู่มีแต่จะพาไปสู่ทางตัน

ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ควรทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นเรื่องปกติพื้นฐานสามารถกระทำได้โดยรัฐสภา โดยกระบวนการประชาธิปไตยซึางควรเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับมากกว่าการฉีกรัฐธรรมนูญโดยกองทัพ อย่าทำให้รัฐธรรมนูญถาวรฉบับต่อไปต้องทำผ่านการรัฐประหารอีก สิ่งที่ต้องยืนยันคือ รัฐธรรมนูญเป็นเจตจำนงของประชาชน การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาแทนที่ฉบับของคณะรัฐประหาร ต้องมาจากเจตนารมณ์ของประชาชนผ่าน สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง

"สุดท้าย ผมขอเรียกร้องให้เพื่อนสมาชิกทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ช่วยกันลงมติไม่เห็นชอบญัตติฉบับนี้ เพื่อเป็นการยืนยันถึงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญของประเทศนี้เป็นของประชาชน และแสดงให้เห็นว่าสภาแห่งนี้เป็นตัวแทนของเสียงประชาชนอย่างแท้จริง"


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"