“ธรรมชาติ” กับ “ปัญหา”


เพิ่มเพื่อน    

               เห็นสภาพ แม่น้ำยม ณ วันนี้ ที่เว็บไซต์ แนวหน้า เขาไปเก็บภาพเอามาเผยแพร่ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาแบบชนิดจะจะจังๆ คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...เล่นเอา ผงะ แบบเดียวกับสำบัด สำนวน ที่นักพาดหัวข่าวของ ไทยโพสต์ เขาชอบหยิบมาใช้ ยังไง ยังงั้น...

                                      ----------------------------------------------

                คือมันออกไปทาง แห้งแหงแก๋ แห้งชนิดแทบมองไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่า น้ำ เอาเลยแม้แต่นิด เห็นแต่ ทราย ล้วนๆ แถมในรายละเอียดของเนื้อข่าว เขาได้บรรยายเสริมเพิ่มเติมเอาไว้ด้วยว่า ตลอดช่วงความยาวประมาณ 124 กิโลเมตรของแม่น้ำแห่งนี้ ที่ไหลผ่าน 4 อำเภอหลักๆ ของจังหวัดพิจิตร และอาจถือเป็นแม่น้ำสายสำคัญของประเทศทั้งประเทศเอาเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าหากมีแต่ ปิง-วัง-น่าน ไม่มี ยม ซะอย่าง โอกาสที่จะบรรสานกลายมาเป็น แม่น้ำเจ้าพระยา คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ แต่มาถึง ณ ขณะนี้ ยม ก็ดันแห้งไปทั่วทั้งตลอดสาย เหลือแต่ทรายให้ดูต่างหน้า ให้เดินไป-เดินมา ข้ามไป-ข้ามมา กันได้สบายๆ...

                                     ----------------------------------------------

                แล้วเห็นว่า แล้ง แบบนี้ต่อเนื่องมาตลอด 3 เดือนเข้าไปแล้ว...คือเริ่มแหงแก๋มาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมโน่นเลย มิน่า...เลยส่งผลให้ เจ้าพระยา ต้องออกอาการ เค็มแล้ว-เค็มอีก คือไม่เหลือ น้ำจืด เอาไว้ ดันน้ำเค็ม มาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เพราะถ้าว่ากันตามผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ ตั้งแต่พฤศจิกาปีที่แล้ว หรือปี พ.ศ.2563 เป็นต้นมา ขณะที่ปริมาณ น้ำที่ใช้การได้ มีอยู่เพียงแค่ 5,771 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ ความต้องการที่จะใช้น้ำ ในระหว่างนั้น ปาเข้าไปถึง 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นอย่างน้อย ด้วยเหตุนี้...การจัดสรร ปันส่วน การแบ่งเฉลี่ยให้มันพออยู่ๆ กันไปได้ จึงส่งผลให้ น้ำประปา ในแถบกรุงเทพมหานคร เลยต้อง กร่อย ต้อง เค็ม ไปอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ หรือขณะที่มาตรฐานความเค็มไม่ควรเกินไปกว่า 0.5 กรัมต่อลิตร แต่บรรดาเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลายกลับต้องซดน้ำประปาที่มีความเค็มระดับ 2.5 กรัมต่อลิตร มาตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา...

                                      -------------------------------------------

                สรุปง่ายๆ ว่า...สิ่งที่อาจต้องถือเป็น ปัญหาอภิมหาอมตะนิรันดรกาล อย่าง ภัยแล้ง นั้น ได้หวนกลับมาเยือนประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา แบบเต็มสูบ เต็มด้าม เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว และกำลังส่งผลให้เกิดความเดือดร้อน ลำเค็ญ แผ่ซ่านออกไปอย่างเป็นระบบและกิจการ ถ้าว่ากันตามการคาดการณ์ของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่สรุปออกมาเป็นตัวเลขกลมๆ มูลค่าความเสียหายจากภัยแล้งปีนี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 17,000-19,000 ล้านบาท เป็นอย่างน้อย หรือประมาณ 0.10-0.11 เปอร์เซ็นต์ ของตัวเลขจีดีพี โดยถ้านำไปรวมกับ ความฉิบหาย ในด้านอื่นๆ อันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ที่ยังไม่แล้วเสร็จดี ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะหด จะเหี่ยว จะแห้งแหงแก๋ไปถึงขั้นไหน ก็ยังมิอาจคาดคำนวณได้ แต่รับรองว่า...คงไม่อาจ ได้หมดถ้าสดชื่น เหมือนอย่างบรรยากาศการปรับคณะรัฐมนตรีอยู่แล้วแน่ๆ...

                                       -----------------------------------------------

                แต่เอาเป็นว่า...จะไปกล่าวหา กล่าวโทษรัฐบาล กันในแบบทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี อย่างบรรดาผู้ที่โกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท ริษยาและชิงชัง บิ๊กตู่ มาโดยตลอด มันคงไม่น่าจะถูกเรื่องกันซักเท่าไหร่นัก เพราะเท่าที่ผ่านมาก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า บิ๊กตู่ ท่านก็พยายามแก้แล้ว แก้อีก แก้แบบแทบไม่มีอะไรแก้ ไม่มีอะไรจะนุ่ง ไปเลยก็ว่าได้ คือระดับถึงกับพยายามประดิษฐ์ คิดค้น แผนแม่บท ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เอาไว้ถึง 20 ปี พอๆ กับยุทธศาสตร์ชาติโน่นเลย หรือตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 ไปยัน พ.ศ.2580 สั่งการและจัดการให้จัดตั้ง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ขึ้นมาเป็นครั้งแรก พร้อมกับออก กฎหมายน้ำฉบับแรก มาใช้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหา มากซะยิ่งกว่า ลิงแก้แห อยู่แล้วแน่ๆ...

                                     --------------------------------------------------

                รวมทั้งหน่วยงานสำคัญๆ อย่าง สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ หรือ สสบ. ของอาจารย์ รอยล จิตรดอน ก็เพียรพยายามที่จะไปชัก ไปลาก เอาบรรดากลุ่มคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าภาคเอกชน หรือชุมชน เข้ามาร่วมมือ ร่วมแก้ ปัญหาดังกล่าวอย่างอุตลุด ชุลมุน-ชุลเก มาโดยตลอด แต่ก็อย่างว่า...ด้วยเหตุเพราะ ธรรมชาติ นั่นเอง ที่อาจเป็นอะไรซึ่งอยู่เหนือไปกว่าความปรารถนา-ความต้องการของมวลมนุษย์ ไม่ว่าจะชาติไหน ต่อชาติไหนก็แล้วแต่ สภาวะความเปลี่ยนแปลงของอากาศหรือสภาวะ โลกร้อน ที่มันอยู่เหนือไปกว่าชาติหนึ่ง ชาติใด ประเทศหนึ่ง ประเทศใด จะสามารถแก้ได้ไปตามลำพัง มีแต่ต้องร่วมมือ ร่วมใจ กันในระดับทั่วทั้งโลกนั่นแหละ ถึงพอจะบรรเทา เบาบาง ได้มั่ง อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...เลยส่งผลให้ความพยายาม แก้ปัญหา ของรัฐบาล อาจต้องกลายสภาพเป็น ลิงแก้แห อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...

                                   -----------------------------------------------------

                ด้วยเหตุนี้...ปัญหา ภัยแล้ง ไปจนถึง ภัยน้ำท่วม หรือ อุทกภัย ก็ยังคงเป็น ปัญหาอภิมหาอมตะนิรันดรกาล อีกต่อไปเรื่อยๆ หรือเป็นปัญหาที่คงต้อง อยู่ๆ กันไป อีกตราบนานเท่านาน อันนี้นี่แหละ...เลยเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย เพราะนอกจากปัญหาภัยแล้ง และภัยน้ำท่วมแล้ว มันยังมีอีกหลายต่อหลายปัญหา ที่ออกไปทางอภิมหาอมตะนิรันดรกาลอยู่อีกไม่น้อย เป็นปัญหาที่ยุ่งเหยิง ยุ่งยาก และซับซ้อน เกินไปกว่าที่ รัฐบาล ใดๆ ก็ตาม จะสามารถแก้ไข เยียวยา ได้โดยลำพัง หรือประมาณ ร้อยนายกฯ ก็แก้ไม่ได้ นั่นแล ถ้าหากปราศจากความร่วมมือและร่วมใจ แต่ในเมื่อมันยังคงเป็น ปัญหา อยู่เช่นเดิม มันจึงไม่ต่างไปจาก กองฟืนแห้งๆ ที่ถูกวางสุมไว้ทั่วทุกซอก ทุกมุม ภายในประเทศ หรือยังคงเป็น เงื่อนไข และ เหตุปัจจัย ที่สามารถทำให้ผู้ซึ่งพก ไม้ขีด เอาไว้ในมือในแต่ละก้าน สามารถกระทำการ เตร็งเตรงเตร่งต๋อย...ไฟไหม้มูลฝอยดังพรึ่บบ์บ์บ์ ได้เสมอๆ

                                 ----------------------------------------------------

                ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Nelson Mandela... “After climbing a great hill, one only finds that there are many more hills to climb. – หลังปีนเขาลูกใหญ่ เราจะพบว่ามีภูผาให้ต้องป่ายปีนอีกมาก...”

                                 ------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"