'ก้าวไกล'โวยพรบ.ข้อมูลข่าวสารฉบับใหม่เปลี่ยนหลักการเป็น'ปกปิดเป็นหลัก เปิดเผยเป็นข้อยกเว้น'


เพิ่มเพื่อน    


02 เม.ย.64 - นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2564 เห็นชอบเสนอร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่...) พ.ศ.... อันเป็นการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารราชการ พ.ศ.2540 เพื่อเสนอให้รัฐสภาพิจารณา ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางนั้น ซึ่งเมื่อตนได้พิจารณาเนื้อหาที่ได้มีการแก้ไขก็เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กำลังเปลี่ยนหลักการของกฎหมาย ที่ได้ออกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ที่เน้นการ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” กลายเป็น “ปกปิดเป็นหลัก เปิดเผยเป็นข้อยกเว้น”

โดยร่าง พ.ร.บ. ที่ ครม.เสนอมีการแก้ไขเนื้อหาสาระสำคัญ 16 ประเด็นด้วยกัน เช่น การเพิ่มนิยาม “ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ” การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารผ่านระบบดิจิทัล การกำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่าง ๆ ไปจนถึงวิธีการอุทธรณ์คำสั่งที่มิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร แต่สิ่งที่ตนได้ศึกษา รับฟัง และได้พูดคุยกับนักวิชาการหลายท่านเห็นตรงกันว่ามีเรื่องที่น่าห่วงอยู่หลายประการด้วยกัน

เรื่องแรก คือเรื่องข้อกำหนดที่ระบุว่าข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อมูลด้านความมั่นคงของรัฐ ด้านการทหาร ด้านการป้องกันประเทศ ไปจนถึงความมั่นคงของรัฐด้านอื่น ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด จะเปิดเผยไม่ได้ เรื่องนี้กลายเป็นผิดหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการทำงานที่รัฐบาลเองพูดมาโดยตลอด เสมือนเป็นการตีเช็คเปล่าให้ ครม.กำหนด ซึ่งอาจมีการกำหนดเสียจนทุกเรื่องกลายเป็นความมั่นคงของรัฐไปเสียหมด

“เช่น กรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ขอทราบถึงเรื่องการดำเนินการเกี่ยวกับวัคซีนโรคโควิดจากกรมต่าง ๆ ในกระทรวงสาธารณสุข หากรัฐบาลกำหนดว่าเรื่องวัคซีนเป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐ จะกลายเป็นว่าเราไม่อาจทราบว่าตกลงประชาชนคนไทยจะได้ฉีดวัคซีนกันครบถ้วนเมื่อไร แม้กระทั่งเรื่อง Spec เสื้อผ้า กางเกงใน รองเท้าของทหารเกณฑ์ ที่ ส.ส.พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ อภิปรายถึงราคาที่สูงกว่าท้องตลาดในสภาหลายครั้ง ก็อาจถูกตีความกลายเป็นเรื่องความมั่นคงด้านการทหารได้ นี่เป็นแค่ตัวอย่างที่น่ากังวล” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า อีกเรื่องที่ตนประหลาดใจมาก คือการที่กฎหมายจะกำหนดว่าหน่วยงานอาจปฏิเสธให้ข้อมูลหากเห็นว่าผู้ยื่นคำขอขอข้อมูลเป็นจำนวนมากหรือบ่อยครั้ง ถึงแม้จะพยายามบอกว่าเฉพาะกรณีก่อกวนการปฏิบัติงานหรือใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการตีความ เรื่องนี้สะท้อนวิธีคิดที่ผิดมาก แทนที่หน่วยราชการจะยินดีที่ประชาชนสนใจในสิ่งที่ตนทำงาน แต่กลับมาหาว่าประชาชนเป็นปัญหาที่จะมาขอข้อมูล มิเช่นนั้นหน่วยราชการจะเก็บข้อมูล big data ไปมากมายทำไม หากมิให้ประชาชนใช้ได้ หรือกลัวประชาชนจะตรวจสอบได้ว่าหลายครั้งเป็นการใช้งบประมาณเกินจำเป็น

เรื่องสุดท้าย คือเรื่องการอุทธรณ์กรณีที่หน่วยราชการมิให้เปิดเผยต่อศาล ร่างกฎหมายนี้เขียนบังคับการทำหน้าที่ของศาลโดยได้ระบุว่าให้ศาลพิจารณาเป็นการลับและห้ามมิให้เปิดเผยเนื้อหาสาระของข้อมูลและวิธีการได้มาซึ่งข้อมูลในคำพิพากษาหรือคำสั่ง เรื่องนี้ในแต่ละศาลจะมีกฎหมายที่ระบุไว้อยู่และให้ศาลท่านใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาว่าเรื่องใดเป็นเรื่องลับและบันทึกข้อมูลแบบใด กฎหมายไม่ควรไปกำหนดแทรกแซงการทำหน้าที่ของศาล อีกทั้งให้มีการอุทธรณ์ได้ในศาลปกครองชั้นต้นเพียงชั้นเดียวและถือเป็นที่สุด จะทำให้ศาลปกครองสูงสุดไม่มีโอกาสได้ทบทวนและวินิจฉัยคดีวางบรรทัดฐานในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศ

อีกทั้งคณะรัฐมนตรีเห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็น กฎหมายที่ตราขึ้นตามรัฐธรรมนูญ หมวด 16 ว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ ซึ่งระบุให้พิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา โดยหลายกฎหมายที่ผ่านมาพบว่าฝ่ายรัฐบาลและวุฒิสภาจะพิจารณาและลงมติไปในทิศทางเดียวกันทั้งในชั้นรับหลักการวาระ 1 และชั้นพิจารณาวาระ 2 ทำให้หากจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาสาระที่ไม่ถูกต้องหรือบิดเบือนไปจากหลักการที่ควรจะเป็นเป็นเรื่องที่ยากมาก จึงเป็นเรื่องที่นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และประชาชน จะต้องช่วยกันส่งเสียงท้วงติงร่าง กฎหม่ยฉบับนี้ตั้งแต่ตอนนี้

"นี่คือวิธีคิดหรือมุมมองของรัฐต่อประชาชน ที่อาจเรียกรวมได้ว่า “รัฐไม่ยอมเปลี่ยนแปลง” โดยจากที่พิจารณาทั้งหมดจะเห็นว่า “พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ ต้องอยู่บนหลักการ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ที่ ครม.มีมติเห็นชอบนี้ไม่ได้อยู่บนหลักการดังกล่าว พรรคจึงมอบหมายให้นายรังสิมันต์ โรม นายธีรัจชัย พันธุมาศ นายวรภพ วิริยะโรจน์ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 เป็นคณะทำงานศึกษาเนื้อหาสาระที่แก้ไข พร้อมเสนอความเห็นต่อที่ประชุม ส.ส. พิจารณาว่าควรจะรับหรือไม่รับหลักการ กม.ฉบับนี้ต่อไป” นายณัฐวุฒิ กล่าวในที่สุด


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"