
"อดีตเรามีบทเรียนกับความไม่ยั่งยืนผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว ซึ่งในอนาคตเรามองเห็นแล้วว่าถ้าภาคธุรกิจไม่ยั่งยืน สังคมและประเทศ โลกไม่ยั่งยืน สุดท้ายทุกคนจะเสียหายหมด...."
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ก่อนหน้านี้วางมือทางการเมืองโดยลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้หลายคนสงสัยว่าอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีดีกรีเป็นด็อกเตอร์ด้านเศรษฐศาสตร์ โดยเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็นอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อน มาเล่นการเมือง ปัจจุบันเขามีกิจกรรมในชีวิตด้านใดบ้าง
ล่าสุด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เข้ารั้งตำแหน่งรองประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคชั้นนำของไทย ในฐานะประธานธรรมาภิบาลและการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน พร้อมกับเปิดเผยคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนว่า เป็นโจทย์ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญและพยายามทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยสหพัฒนพิบูล (SPC) มีการดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นในการนำเสนอสินค้าดี ควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและผู้มีส่วนได้เสีย พร้อมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยอยู่ภายใต้ 3 หลักใหญ่ ได้แก่ 1. สิ่งแวดล้อม 2. ความรับผิดชอบต่อสังคม และ 3. ธรรมาภิบาล เพื่อให้สอดรับกับแนวคิด ESG (Environment, Social, Governance) เพื่อให้ทุกชีวิตในสังคมเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน

สำหรับแผนกลยุทธ์ของ SPC ในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน Sustainability ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการสำรวจคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ในเรื่องของการใช้พลังงานในกระบวนการขนส่งของบริษัท ซึ่งได้ดำเนินการในขอบข่ายที่1 และ 2 ไปแล้ว และขยายไปยังกลุ่มซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทราบว่ามีส่วนใดที่จะต้องปรับปรุงหรือพัฒนาต่อ โดยได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการรวบรวมจัดเก็บข้อมูลให้มีความแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น นำมาซึ่งการลดต้นทุนการใช้ทรัพยากร ลดความผิดพลาดระหว่างทางได้ ควบคู่ไปกับการกระตุ้นภายในองค์กรในการคิดค้นนวัตกรรมในการพัฒนาการผลิตสินค้า รวมไปถึงปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับแนวคิด ESG โดยมีแผนเร่งให้แล้วเสร็จทั้ง 3 ขอบข่ายภายในปี 2568 เพื่อนำไปสู่การตั้งเป้าหมายและกรอบระยะเวลาในการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนในระยะต่อไป
“ที่ผ่านมา บริษัท ฯ ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรม เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม ปี 2563 ได้เริ่มต้น โครงการ “Green PLEASE by SPC” โดยการนำขวดพลาสติก Pet ที่ใช้แล้วกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ โดยเริ่มจากการรณรงค์ภายในจัดตั้งตู้ทิ้งขวดพลาสติกในองค์กรและส่งเสริมให้พนักงานตระหนักถึงการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง ซึ่งตั้งแต่ดำเนินโครงการ ที่ผ่านมาได้ร่วมส่งต่อขวดพลาสติกไปรีไซเคิลจำนวนทั้งหมด 69,750 ใบ หรือ 1,110 กิโลกรัม ลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 3,439.84 kgCo2e. (เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 383 ต้น)”รองซีอีโอด้านธรรมาภิบาลฯกล่าว

แคมเปญ “SPC Zero #GoGrowGreen” รวมพลังพนักงาน SPC ร่วมกันปลูกป่าชายเลนเพื่อสร้างพื้นที่สีเขียว มุ่งฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลนในเขตบางขุนเทียน พื้นที่สำคัญในการรักษาสมดุลทางนิเวศวิทยาเพื่อลดการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งและช่วยดูดซับคาร์บอน สร้างความตื่นตัวพนักงานในองค์กรตื่นตัวมีจิตสำนึกในการรักษ์สิ่งแวดล้อมและพร้อมขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม
“อดีตเรามีบทเรียนกับความไม่ยั่งยืนผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว ซึ่งในอนาคตเรามองเห็นแล้วว่าถ้าภาคธุรกิจไม่ยั่งยืน สังคมและประเทศ โลกไม่ยั่งยืน สุดท้ายทุกคนจะเสียหายหมด นับเป็นความท้าทายของการปรับตัวขององค์กรไทยให้เข้าสู่ Sustainable ในแง่ขององค์กรปฏิเสธไม่ได้ว่าจำเป็นที่จะต้องลงทุน ซึ่งอาจจะนำไปสู่การเพิ่มต้นทุนแต่เป็นการลงทุนในยะยาว เพื่อให้บรรลุเป้าหมายจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ต้องมาแบกรับ ซึ่งผู้บริโภคทุกวันนี้มีความตื่นตัวและพร้อมที่จะจ่ายเงินเพิ่มถ้าสินค้าที่ตนเองซื้อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สำหรับภาคเอกชนเองคงต้องใช้ระยะเวลาปรับตัวรวมไปถึงการปรับวัฒนธรรมองค์กรเพื่อให้เข้ากับกฎระเบียบต่าง ๆ และภาครัฐต้องมีทิศทางที่ชัดเจนและดำเนินการกำกับดูแลด้วยความเท่าเทียมกันเพื่อไม่ให้กระทบกับองค์กรและผู้บริโภค และเป็นการสร้างความยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ก่อนหน้านี้ SPC ได้ดำเนินงานด้านธรรมภิบาลและยั่งยืน ภายใต้แนวคิดของ “ดร.เทียม โชควัฒนา” ในฐานะผู้ก่อตั้งสหพัฒน์ ด้านสิ่งแวดล้อม ได้ ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในโครงการ “Care the Whale สถานีขยะล่องหน คุ้งบางกระเจ้า” ส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวีตคนในชุมชน ณ คุ้งบางกะเจ้า จ.สมุทรปราการ ปลูกฝังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคนในชุมชน ให้จัดการแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง
SPC ยังได้สนับสนุนสินค้าที่จัดจำหน่ายให้กับชุมชนเพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ รณรงค์ให้ชุมชนนำขยะมาแลกเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภค ส่งเสริมการบริหารจัดการขยะในคุ้งบางกะเจ้ารวม 378,759 กิโลกรัม ลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 341,559 kgCO2e (เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 37,951 ต้น) และในปี 2567 ลุยต่อกับ “Care the Whale สถานีขยะล่องหน คุ้งบางกระเจ้า” ปี4 จัดแคมเปญเปิดรับขยะประเภท Multi-Layer Plastic หรือเรียกว่า “ถุงวิบวับ” จากขยะกำพร้า สู่ขยะล่องหน ซึ่งวัดจากแดงสามารถนำมาผ่านกระบวนการแยกเป็นเชื้อเพลิงและอลูมิเนียม ด้วยเครื่องจักรไพโรไลซิส โดย 1 รอบ ใช้เวลา 8 ชั่วโมง ขยะถุงวิบวับ 100 กิโลกรัม (ถุงวิบวับประมาณ 50,000 ชิ้น) สามารถแยกออกมาได้เป็น อะลูเนียม 10-20% ก๊าซและน้ำมัน 80%
โครงการ “Care the Bear : Change the Climate Change by Eco Event” จูงใจพนักงานด้วย6 ข้อปฏิบัติง่าย ๆ คือ 1. เดินทางโดยรถสาธารณะ หรือทางเดียวกันมาด้วยกันแบบ Carpool 2. ลดการใช้กระดาษและพลาสติกในงาน 3. งดใช้โฟม ( โพลิสไตรีน หรือ PS ) ตกแต่งสถานที่หรือภาชนะใส่อาหารในงาน 4. ลดใช้พลังงานจากอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ 5. ใช้อุปกรณ์ตกแต่งวัสดุที่นำกลับมา Reuse / Recycle ได้ 6. ตักอาหารแต่พอดี
SPC ยังสนับสนุนด้านสังคม ได้แก่ โครงการ “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” เปิดโอกาสให้กับเยาวชนทั่วประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดได้มีโอกาสเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยโดยมีติวเตอร์ชื่อดังระดับประเทศมาถ่ายทอดความรู้ วิชาสามัญ GAT และ PAT รวมทั้งแนะแนวระบบสอบ TCAS ในการคัดเลือกนักเรียนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันโครงการนี้เดินหน้าสู่ปีที่ 27 และยังคงดำเนินการต่อเนื่องในทุกปี และยังมีโครงการสหพัฒน์ให้น้อง เป็นการตามหายอดมนุษย์ตัวจิ๋วในโรงเรียนต่าง ๆ บ่มเพาะเยาวชนคุณภาพ ให้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เติบโตเป็นต้นกล้าที่งดงาม เป็นแรงสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมและประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้า พร้อมมอบสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันโครงการนี้เดินหน้าสู่ปีที่ 8 ได้ไปโรงเรียนกว่า 200 แห่ง ทั่วประเทศ

โครงการธรรมาภิบาลโดยตรง ได้แก่ โครงการ “ซื่อสัตย์ เพื่อชาติ” มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างค่านิยมและปลูกจิตสำนึกเรื่องความซื่อสัตย์ให้เกิดขึ้นในกลุ่มเยาวชน และกระตุ้นให้คนไทยกลับมาเห็นคุณค่าของความซื่อสัตย์ โดยมีการจัดทำคลิปวิดีโอที่เน้นการสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายตระหนักถึงความซื่อสัตย์ ร่วมกันปลูกฝังความซื่อสัตย์ให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เทพไท ไม่แปลกใจ 'อภิสิทธิ์-ปชป.' ฉุดกระแสใต้คืนชีพ ห่วง สส.เขต โดนกระสุนดินดำเอาไปกิน
เทพไท ชี้ ผลการสำรวจของนิด้าโพล อาจวัดความนิยมของพรรคการเมือง และจะบ่งบอกถึงส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ แต่สำหรับส.ส.ในระบบเขต ยังเชื่อว่าพรรคการเมืองที่มีทรัพยากรพร้อม มีกระสุนดินดำเป็นจำนวนมาก และยิงเข้าเป้า ก็จะมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง
นิด้าโพลชี้ ปชป. มาแรงในภาคใต้ คะแนนนิยม อภิสิทธิ์ นำ อนุทิน
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “กระแสการเมือง ภาคใต้” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 18 - 24 พฤศจิกายน 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในภาคใต้ (จำนวน 14 จังหวัด ประกอบด้วย ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี


