
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับ คณะวิจัย ผ่านเครือข่าย TIME Labs มหาวิทยาลัยมหิดล จัดประชุมรับฟังความเห็น “การขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากแผนที่นำทางการวิจัยขั้นแนวหน้าระบบโลกและอวกาศ” โดยมี รศ.ดร. วีระพงษ์ แพสุวรรณ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ด้านวิทยาศาสตร์(อว.) ในฐานะผู้แทนของ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รมว.อว.) ร่วมประชุมรับฟังการนำเสนอผลการศึกษาออกแบบกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยขั้นแนวหน้าระบบโลกและอวกาศ
รศ.ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นแนวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทคโนโลยีอวกาศ (Space Technology) ที่มีการนำองค์ความรู้ วิธีการ และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาดาราศาสตร์และห้วงอวกาศที่อยู่นอกเหนืออาณาเขตของโลก เพื่อการเรียนรู้และการทำความเข้าใจต่อจักรวาล ปรากฏการณ์ และดวงดาวต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี เพียงแต่การศึกษา เรื่องดังกล่าวกระจัดกระจาย การจัดสรรงบวิจัยเรื่องเทคโนโลยีอวกาศให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ยังมิได้มีการรวบรวมและจัดลำดับความสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมา ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ได้มีนโยบาย สนับสนุนการวิจัยขั้นแนวหน้า (Frontier Research) พร้อมกับการกำหนดโจทย์สำคัญเพื่อออกแบบการจัดสรรงบประมาณมิให้กระจัดกระจายเหมือนที่ ผ่านมา ซึ่งถือเป็นโจทย์สำคัญหนึ่งที่มอบให้ สกสว. ดำเนินการจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยขั้นแนวหน้าของประเทศ และสนับสนุนการศึกษาออกแบบกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยขั้นแนวหน้าระบบโลกและอวกาศ ซึ่งคาดหวังว่าแผนที่นำทางฯ จะช่วยให้คณะวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ใช้ประโยชน์มองเห็นภาพด้าน Supply chain โอกาสในการพัฒนา และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีอวกาศ รวมถึงการนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“การก้าวเข้าสู่เทคโนโลยีอวกาศนั้น ประเทศไทยควรต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และจำเป็นต้องประเมินตนเองก่อนว่า ณ ปัจจุบัน ขีดความสามารถของประเทศไทยในด้านต่าง ๆ นั้น เราอยู่ตรงไหน เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการพิจารณาว่า เราควรมุ่งเป้าไปในทิศทางใดที่จะทำให้เราถึงเส้นชัยได้ไวที่สุด และใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากเรื่องการกำหนดทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศแล้ว การพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญ เพื่อให้ประเทศไทยใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดการต่อยอดเทคโนโลยีโดยกำลังคนที่ประเทศพัฒนาขึ้น”

ด้าน ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ รองผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า สกสว. เป็นหน่วยงานกลางของประเทศ ที่มีหน้าที่ในการส่งเสริม สนับสนุนและขับเคลื่อนระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศในทุกด้าน เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างสมดุลและยั่งยืน ได้สนับสนุนโครงการการศึกษาออกแบบกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยขั้นแนวหน้าระบบโลกและอวกาศให้แก่ รศ.ดร.ณัฐสิทธิ์ เกิดศรี มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะ เพื่อผลักดันการวิจัยขั้นแนวหน้าบนฐานของเทคโนโลยีอวกาศ โดยบูรณาการงานวิจัยข้ามสาขาในการสร้างและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ โดย สกสว.จะนำข้อมูลและข้อเสนอแนะจากโครงการไปออกแบบและขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านอวกาศของประเทศไทย ร่วมกับหน่วยรับงบประมาณ และหน่วยบริหารจัดการทุน เพื่อขับเคลื่อนการนำไปใช้ประโยชน์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2567 สกสว.ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนงานมูลฐาน (Fundamental Fund; FF ) ให้กับหน่วยงานในระบบ ววน. ที่มีพันธกิจที่เกี่ยวข้องกับประเด็นวิจัยและพัฒนาด้านอวกาศ จำนวน 697.08 ล้านบาท และในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 สกสว. ได้ตั้งกรอบงบประมาณ FF ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยพัฒนาด้านอวกาศ จำนวน 219. 66 ล้านบาท

รศ.ดร.ณัฐสิทธิ์ เกิดศรี ในฐานะหัวหน้าโครงการ กล่าวถึงผลการศึกษาว่า แผนที่นำทางฯ แสดงให้เห็นปลายทางของอุตสาหกรรมอวกาศของประเทศไทยนั้น ควรมีการสร้างชิ้นส่วนดาวเทียมภายในประเทศ และควรมีเทคโนโลยีรายล้อมเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอื่น ๆ ภายในประเทศ ทำให้เกิดการขายและส่งออกเทคโนโลยีสู่ต่างประเทศใน 3 ระยะ คือ ระยะเริ่มต้น ในช่วงเริ่มต้น (ปี พ.ศ.2568-2569) ภารกิจหลักของประเทศควรมุ่งเน้นที่การพัฒนาทักษะและชิ้นส่วนดาวเทียมขนาด Nanosat 6U โดยเลือกผลิตชิ้นส่วนจากภายในประเทศประมาณ 30% โดยชิ้นส่วนที่จะเป็นเรือธงในด้าน Hardware ช่วงแรก คือระบบบริหารจัดการและเก็บพลังงานไฟฟ้า (EPS) และในส่วนที่ของ Software คือ Flight Software ไว้สำหรับควบคุมการทำงานของดาวเทียม ในส่วนของการใช้องค์ความรู้จากอวกาศบนพื้นโลกจะเป็นการพัฒนาและนำข้อมูลสภาพอวกาศมาใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาที่เป็นเรื่องของภาวะโลกร้อน ในระหว่างทางที่ประเทศกำลังวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศนั้น จะมีการนำองค์ความรู้ เช่น Flight Software ที่สามารถนำมาใช้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และระบบสมองกลฝังตัว ที่สอดคล้องไปกับความต้องการของประเทศด้านอื่นด้วย รวมไปถึงอุตสาหกรรมการเกษตรที่มีโรงเลี้ยงแมลงและปลูกพืช
ในระยะที่ 2 (ปี พ.ศ.2570-2571) จะเป็นการพัฒนาต่อยอดและขยายผลจากระยะแรก โดยมีเป้าหมายของประเทศที่จะพัฒนาชิ้นส่วนดาวเทียมให้เพิ่มเป็น 60% โดยสิ่งที่จะมาเสริมนั้น คือ Onboard Computer (OBC) ที่เป็นหัวใจหลักในการควบคุมดาวเทียมและระบบการปรับเอียงตัวของดาวเทียม (ADCS/ AOCS) และจากเทคโนโลยีรายล้อมที่เกิดขึ้นในช่วงแรกจะสร้างโมเมนตัมในการพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศ ที่จะวิจัยและพัฒนาโรงเรือนเพาะปลูกบนอวกาศ ที่จะผนวกรวมกับการใช้ข้อมูลสภาพอวกาศมาช่วยงานการเพาะปลูก แต่ยังจะต้องลงรายละเอียดเชิงลึกเพิ่มในด้านของรังสีบนอวกาศมากขึ้น และระยะสุดท้าย ประเทศไทยควรพัฒนาและสร้างดาวเทียมได้เองเกือบ 100% ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศสามารถผลิตดาวเทียมแบบ Constellation ด้วยการผลิตซ้ำจากฐานองค์ความรู้เดิมและทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และก้าวต่อไปที่ประเทศจะพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศให้ยั่งยืนขึ้นไปอีกด้วยการผลิต Payload ที่กำลังจะเป็นที่ต้องการอย่างมากในอนาคต อย่างน้อย 5 ปี จากปัจจุบัน

นอกจากนี้ คณะนักวิจัย ได้เสนอความเห็นในประเด็นความท้าทายและแนวทางการบริหารจัดการงานวิจัยด้านระบบโลกและอวกาศที่สำคัญประการแรก คือ การพิจารณาระยะเวลาการให้ทุนที่เหมาะสม เนื่องจากงานวิจัยด้านเทคโนโลยีโลกและอวกาศต้องใช้เวลาในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประการที่สองคือ การสร้างแรงจูงใจเพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้าสู่อุตสาหกรรม พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสนับสนุนโครงการอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติก็เป็นอีกหนึ่งข้อเสนอสำคัญซึ่งจะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้ โดยคณะนักวิจัยกล่าวว่าได้นำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ โดยได้จัดทำระบบ GPT เป็นช่องทางให้ผู้สนใจสามารถสืบค้นและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนที่นำทางการวิจัยขั้นแนวหน้าระบบโลกและอวกาศได้อย่างสะดวก
ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ กล่าวสรุปว่า อย่างไรก็ดี สกสว. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การสนับสนุนโครงการการศึกษาออกแบบกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยขั้นแนวหน้าระบบโลกและอวกาศ จะได้แนวทางการจัดทำแผนที่นำทางฯ ที่ชัดเจน ผ่านการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังของภาคเอกชน ภาครัฐ และมหาวิทยาลัย/ สถาบันวิจัย ทำให้การกำหนดทิศทางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีมีความต่อเนื่องประกอบกับการสร้างระบบนิเวศของกลุ่มวิจัย (Ecosystem) ที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลให้การพัฒนานวัตกรรมมีคุณภาพรองรับความต้องการในอนาคต นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็งยั่งยืนต่อไป.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สอน.ผนึกไทยคมใช้ Ai ตรวจเข้มอ้อยไฟไหม้
สอน. จับมือไทยคม เปิดตัว แพลตฟอร์มติดตามร่องรอยการเผาไหม้ในไร่อ้อย ด้วยเทคโนโลยีอวกาศ และ AI หวังต่อยอด ขยายผลลดมลภาวะทางอากาศ และค่าฝุ่น PM 2.5
บพค. จัดงาน "Thailand Brainpower Briefing 2026" ชูวิสัยทัศน์ "พลังสมอง ประกายแห่งนวัตกรรม" สนับสนุนทุนขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัย และ การสร้างนวัตกรรม (บพค.)
สกสว.กระตุก GDP ไทยด้วยกองทุนววน. หวังเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
สกสว.จัดเวทีชวนกระตุก GDP ไทยด้วยกองทุน ววน. “ศุภภาส” ชี้ ววน.เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน แข่งขันได้ในเวทีโลก ชี้นโยบายทรัมป์จะทำให้ไทยปรับตัว และวางยุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อคว้าโอกาสและรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น


