'โรคอ้วน' รุมเร้าคนไทย 40% น้ำหนักเกิน  

ทุกวันที่ 4 มีนาคมของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น วันโรคอ้วนโลก (World Obesity Day) ปัญหาด้านสุขภาพระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนจำนวนมาก ในปี 2568 สหพันธ์โรคอ้วนโลก (World Obesity Federation) ได้กำหนดแนวคิดรณรงค์ภายใต้หัวข้อ “Changing systems, Healthier lives” หรือ “ระบบดี สุขภาพดี” โดยมุ่งเน้นให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไป ร่วมมือกันปรับปรุงระบบสุขภาพให้ดีขึ้น และให้ความสำคัญกับการป้องกันและดูแลโรคอ้วน

โดยข้อมูลจาก สหพันธ์โรคอ้วนโลก (World Obesity Federation) ในปี 2563 ระบุว่า ประชากรราว 1 พันล้านคนทั่วโลก หรือประมาณ 1 ใน 7 คน กำลังเผชิญกับปัญหาโรคอ้วน ซึ่งสอดคล้องกับรายงาน World Health Statistics 2023 ของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ระบุว่า มี ผู้ใหญ่กว่า 1.9 พันล้านคน หรือ 39% ของประชากรโลก อยู่ในภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน

 สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ. 2566 พบว่า ประชากรไทย 48.35% ประสบปัญหาน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มของปัญหาสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้นและความจำเป็นในการดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขอย่างจริงจัง อีกกลุ่มที่น่ากังวลคือ วัยเด็ก โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยรายงานการเฝ้าระวังโรคอ้วนในเด็กของประเทศไทย ระหว่างปี 2557 – ปี 2567 พบแนวโน้มเด็กเป็นโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้นทุกปี เด็กอายุ 0 – 5 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นจาก 3.6 % เป็น 8.84 % เด็กวัยเรียนอายุ 6-14 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นจาก 8.9 % เป็น 13.21%

โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมะเร็งบางชนิด เพื่อสร้างความตระหนักรู้และสร้างระบบนิเวศการมีสุขภาพที่ดีขึ้นของประชากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้จัดเสวนาเกี่ยวกับสถานการณ์โรคอ้วนในไทยและการดูแลสุขภาพ เนื่องในวันอ้วนโลก World Obesity Day 2025 ภายใต้ธีม “Changing Systems, Healthier Lives” เพราะสุขภาพที่ดี ไม่ได้เริ่มจากตัวเราเพียงคนเดียว แต่ต้องเกิดจากระบบที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ

สถานการณ์โรคอ้วนในไทย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่า ประชากรไทยมากกว่าร้อยละ 40 มีภาวะโรคอ้วน โดยกลุ่มที่พบมากที่สุดคือ เพศหญิง และในกลุ่มเด็กและเยาวชนมีอัตราการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวล แนวทางเชิงนโยบายในการรับมือกับปัญหานี้สามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ การรักษาผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน และการจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุข

ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าวต่อว่า  เนื่องจากงบประมาณด้านการดูแลสุขภาพมีข้อจำกัด และยังต้องรองรับการรักษาโรคอื่น ๆ ที่สำคัญ จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันก่อนที่ประชาชนจะเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน โดยการส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพตนเองผ่านการออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พร้อมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมของเมืองให้เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกิจกรรมทางกายและดำเนินชีวิตในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาวะที่ดีได้อย่างยั่งยืน

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม.

เมืองกับโรคอ้วน รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์  ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า จากการโครงการ ตรวจสุขภาพ 1 ล้านคน มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพอย่างทั่วถึงในพื้นที่ต่างๆ เช่น ตลาด ศูนย์การค้า และสถานที่สาธารณะอื่นๆ โดยขณะนี้ดำเนินการตรวจไปแล้วกว่า 520,000 คน ทำให้มีฐานข้อมูลสุขภาพที่ชัดเจน ซึ่งจากรายงานสุขภาพเขตพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีภาวะไขมันในเลือดสูง 36% โรคอ้วน 35% และโรคเบาหวาน 25%

รศ.ดร.ชัชชาติ กล่าวต่อว่า เมืองจึงให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ผ่านงบประมาณจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่สนับสนุนโครงการกว่า 2,000 โครงการ เช่น การออกกำลังกายแอโรบิก การส่งเสริมสุขภาพในชุมชน และการดูแลโภชนาการในโรงเรียน เพื่อช่วยลดปัญหาโรคอ้วนในเด็กและเยาวชน นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายและกิจกรรมทางกาย เช่น ลานกีฬาในสวนเบญจกิติ ที่มีผู้ใช้งานกว่า 11 ล้านครั้งต่อปี และมีแผนขยายเพิ่มอีก 4 แห่ง รวมถึง โครงการ12 เดือน 12 เทศกาล ที่ส่งเสริมให้ประชาชนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น

“การพัฒนาสภาพแวดล้อมในเมืองยังเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพ โดยมีโครงการ Walkable City ที่พัฒนาทางเท้ายาว 1,000 กม. ซึ่งดำเนินการไปแล้ว 800 กม. ควบคู่กับการปรับปรุง Skywalk และ Covered Walkway ให้ประชาชนเดินทางได้สะดวกยิ่งขึ้น  ยังมีโครงการพัฒนาทางเดินริมคลองแสนแสบ (วัดภูเขาทอง-มีนบุรี) ระยะทาง 20 กม. ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ รวมถึง โครงการสวน 15 นาที ที่มุ่งเพิ่มพื้นที่สีเขียวใกล้บ้านให้ได้ 357 แห่งภายในปีนี้ และ Bike Sharing ที่นำจักรยาน 1,200 คัน มาให้บริการเชื่อมโยงจากรถไฟฟ้าสู่สถานที่ทำงานในกว่า 200 แห่ง อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนแล้ว เมืองได้จัดให้มีบริการดูแลรักษาที่ ศูนย์เวชศาสตร์เขตเมือง ตามมาตรฐาน NCDs Clinic Plus ในโรงพยาบาลสังกัด กทม. ทั้ง 11 แห่ง เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลรักษาอย่างทั่วถึง” รศ.ดร.ชัชชาติ กล่าว

รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การดูแลสุขภาพตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา โดยตัวตนเองก็เคยเป็นเด็กที่มีรูปร่างอ้วน แต่ได้รับการปลูกฝังจากพ่อแม่ให้มีการจัดสรรเวลาในการดูแลตัวเอง เช่น การออกไปทำกิจกรรมต่างๆ นอกบ้านและการออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญพลังงานและมีการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นการสร้างนิสัยในการดูแลสุขภาพที่ดี ทุกคนสามารถสร้างนิสัยในการออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่ดีเพื่อป้องกันโรคอ้วนและส่งเสริมสุขภาพที่ดีได้ตลอดชีวิต

โรคอ้วนต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและแรงงาน รศ.ดร.นพพล วิทย์วรพงศ์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่คนไทยมีภาวะโรคอ้วน ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) เคยรายงานว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 6 ช้อนชา มากถึง 6 เท่า รวมถึงการกินเค็มเกินและการไม่ออกกำลังกาย โดยในมุมมองทางเศรษฐกิจ จากการคำนวณเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โรคอ้วนทำให้ประเทศไทยสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 12,142 ล้านบาท หรือ 0.13% ของ GDP ปัจจุบัน

“จากการศึกษาล่าสุดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พบว่า พฤติกรรมการไม่ออกกำลังกายและการกินเค็มทำให้สูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจมากถึง 21.4 พันล้านบาท และ 100.8 พันล้านบาท ตามลำดับ การรวมพฤติกรรมที่ไม่ดีในด้านต่างๆ สะท้อนให้เห็นว่าโรคอ้วนเป็นปัญหาที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เนื่องจากส่งผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจและสังคม”รศ.ดร.นพพล กล่าว

รศ.ดร.นพพล กล่าวต่อว่า ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ สาเหตุของโรคอ้วนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยหลัก คือ 1. พันธุกรรม ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ และ 2. พฤติกรรมส่วนบุคคล เช่น เพศหญิง รายได้น้อย และการศึกษาน้อย ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคอ้วน รวมถึงปัจจัยจากสภาพแวดล้อม เช่น สภาพแวดล้อมในเมืองที่ไม่เอื้อต่อการออกกำลังกายหรือการเดินเท้า และปัญหาความปลอดภัยในการใช้พื้นที่สาธารณะ นอกจากนี้ยังมีแรงงานนอกระบบกว่า 50 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และพบว่าในเขตเมืองมีการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคอ้วน สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ การเข้าถึงสุขภาพที่ดี การออกกำลังกาย และการบริโภคอาหารที่ดี การเติบโตของเมืองยิ่งส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ดังนั้นการปรับพฤติกรรมเฉพาะกลุ่มให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่วงอายุ จะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ พื้นที่ออกกำลังกาย และโภชนาการที่ดีได้อย่างทั่วถึง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เผยเหตุถนนทรุด จุดเชื่อมต่อระหว่างอุโมงค์รถไฟฟ้ากับสถานี ส่งผลให้เกิดการยุบตัวของดิน

ผู้ว่าฯกทม.เผยจุดเชื่อมต่อระหว่างอุโมงค์รถไฟฟ้ากับสถานี ส่งผลให้เกิดการยุบตัวของดิน c]tท่อประปาขนาดใหญ่ชำรุด สั่งมาตรการเร่งด่วน 7 ข้อ ยันไม่มีผู้บาดเจ็บ วชิรพยาบาลงดบริการผู้ป่วยนอก 2 วัน

'สรวงศ์' ปัด ดึง 'ชัชชาติ' เป็นแคนดิเดตนายกฯ อยู่ระหว่างเฟ้นหาผู้มีความเหมาะสมให้ครบ 3 คน

'สรวงศ์' ปัด ดึง 'ชัชชาติ' เป็นแคนดิเดตนายกฯ อยู่ระหว่างเฟ้นหาผู้มีความเหมาะสมให้ครบ 3 คน เหตุ งวดนี้ใช้คุ้ม ขอ อย่าพูดหมดตระกูล 'ชินวัตร' ชูโรง ยัน 'แพทองธาร' ยังมีคุณสมบัติเป็น สส.ได้ แต่ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวจะลงการเมืองหรือไม่ ลั่นเพื่อไทยยังสู้สมัยหน้าส่ง สส.ครบทุกเขต

'ผู้ว่าฯกทม.' ขอโทษ! ไปไม่ถึงจุดสัญญาณชีพ ลุยใช้เครื่องมือหนักย้ายซาก ควบคู่ค้นหา

'ผู้ว่าฯ ชัชชาติ' ขอโทษ ไปไม่ถึงจุดเสียงสัญญาณชีพ ลุยใช้เครื่องมือหนักเปิดพื้นที่ ควบคู่การค้นหา คาดย้ายซากตึก 4 หมื่นตัน ใช้เวลา 30 - 60 วัน