
หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งแรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทำให้เกิดความกังวลในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคาร โดยเฉพาะอาคารสูงที่มีผู้อยู่อาศัยและทำงานจำนวนมาก นอกจากนี้ในวันที่ 7เมษายน ยังมีการสั่นไหวจากอาฟเตอร์ช็อกแถบภาคเหนือของไทยอีก 6รอบ ที่อ.เวียงแหง จ.เขียงใหม่ สะท้อนว่าปัญหาความมั่นคงแข็งแรงของอาคารต่างๆ ยังเป็นสิ่งที่น่ากังวล ล่าสุด ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้จัดการอบรมหัวข้อ “กรณีศึกษาจากการตรวจอาคารจากแผ่นดินไหว, ข้อกฎหมาย และแนวทางการตรวจสอบ” เพื่อให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมเกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบความเสียหายของอาคารเบื้องต้นหลังเกิดแผ่นดินไหว รวมถึงการใช้คู่มือการสำรวจความเสียหายที่กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย จัดทำขึ้นในปี 2560
รศ.ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญวิศวกรรมด้านแผ่นดินไหว อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. กล่าวว่า อาคารที่ก่อสร้างตามมาตรฐานในปัจจุบัน มีการออกแบบ ก่อสร้าง และใช้งานที่ถูกประเภท ยังคงมีความปลอดภัยเพียงพอในสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะหากเป็นอาคารที่ออกแบบและก่อสร้างอาคารตามมาตรฐานปัจจุบัน ระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวในครั้งนี้ ไม่น่าจะสร้างความเสียหายมากกับโครงสร้างของตัวอาคารในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ หรือหากจะมีความเสียหายเกิดขึ้น อาจจะเกิดเล็กน้อยกับที่เป็นโครงสร้างหลัก หรือ เกิดความเสียหายในส่วนงานสถาปัตยกรรม เช่น การแตกร้าวของผนัง การแตกร่อนของปูน หรือการแยกตัวของผนังจากเสา ซึ่งแม้ไม่อันตรายถึงขั้นต้องอพยพออกจากอาคาร แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรได้รับการตรวจสอบและซ่อมแซมโดยเร็ว

แต่ในกรณีของอาคารที่ก่อสร้างมาก่อนปี 2550 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มประกาศใช้กฎหมายควบคุมการออกแบบอาคารเพื่อรองรับแผ่นดินไหวอย่างเป็นทางการ หรืออาคารที่ไม่ได้ก่อสร้างตามมาตรฐานในปัจจุบัน ความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายที่ส่งผลต่อโครงสร้างหลักมีมากกว่า ทั้งนี้เพราะวัสดุและการออกแบบก่อสร้างที่ไม่ได้คิดถึงแรงสั่นสะเทือนในระดับเดียวกับปัจจุบัน ซึ่งก็อาจมีผลต่อความมั่นคงของอาคารในระยะยาว โดยเฉพาะหากเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในอนาคต
สิ่งที่ควรปฏิบัติเป็นอย่างแรกหลังแผ่นดินไหวผ่านไป คือ การสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นของอาคารต่างๆ อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ตัวอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวได้รับการแก้ไขหรือซ่อมแซมให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็ว และเพื่อให้มั่นใจได้ว่าอาคารหลังนั้นยังมีความปลอดภัยต่อการพักอาศัยหรือใช้ประโยชน์ ปัจจุบันมีกลุ่มวิศวกรอาสาเข้ามาช่วยในการตรวจสอบและประเมินอาคารที่ได้รับความเสียหาย แต่ก็ยังไม่สามารถตรวจสอบอาคารในกรุงเทพและปริมณฑลที่มีกว่าหมื่นอาคารอย่างครบถ้วนได้
คู่มือการสำรวจความเสียหายขั้นต้นของโครงสร้างอาคารหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่จัดทำโดย กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2560 ที่มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบอาคารประเภทต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปสามารถนำมาใช้การตรวจสอบความเสียหายของอาคารหรือห้องของตนในเบื้องต้นได้
“ในคู่มือเล่มนี้มีการระบุจุดที่ควรสำรวจความเสียหายในเบื้องต้น โดยใช้อุปกรณ์พื้นฐานอย่างตลับเมตร ไม้บรรทัด และเครื่องวัดระดับน้ำ ไปสำรวจตามจุดต่างๆ ในอาคารตามที่คู่มือระบุไว้ ซึ่งจะสามารถประเมินเบื้องต้นได้ว่าโครงสร้างหลักของอาคารได้รับเสียหายหรือไม่ ถือเป็นการ “คัดกรอง” เบื้องต้น และลดภาระในการตรวจสอบอาคารด้วยวิศวกรอาสาได้เป็นอย่างมาก เพราะหากสำรวจขั้นต้นแล้วไม่พบความเสี่ยง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้การสำรวจแบบละเอียดโดยวิศวกรโยธา ที่ต้องมีการใช้เครื่องมือพิเศษ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควร” รศ.ดร.ชัยณรงค์ อธิสกุล อาจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา มจธ. กล่าวเสริม

รศ.ดร.ชัยณรงค์ กล่าวต่อว่า จากการเป็นวิศวกรอาสาในการตรวจสอบอาคารสูงในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา พบว่าความเสียหายในอาคารที่เข้าไปตรวจเกือบทั้งหมดจะอยู่ใน “ระดับสีเขียว” ซึ่งหมายถึงมีเพียงความเสียหายเล็กน้อยที่ไม่กระทบต่อการใช้งาน เช่น รอยร้าวบางจุดที่ผนัง หรือพื้นโก่งงอเล็กน้อย และยังไม่พบร่องรอยของความเสียหายที่โครงสร้างหลัก อย่าง เสา คาน หรือจุดต่อระหว่างองค์ประกอบหลักของอาคาร ทั้งนี้ อาคารในระดับ ‘สีเขียว’ สามารถใช้งานได้ตามปกติหลังจากเคลียร์เศษวัสดุหรือผนังที่หลุดร่อนแล้ว แตกต่างจากอาคารในระดับ ‘สีเหลือง’ ที่มีรอยแตกร้าวชัดเจนในส่วนของโครงสร้าง หรือมีชิ้นส่วนอาคารที่อาจร่วงหล่นใส่ผู้ใช้งาน ซึ่งจำเป็นต้องมีการห้ามใช้งานบางส่วนและต้องตรวจสอบเชิงลึกเพิ่มเติม
สำหรับแนวทางการเตรียมพร้อมหรือหลักปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยทั้งระหว่างและหลังเกิดแผ่นดินไหวของประชาชนทั่วไปนั้น รศ.ดร.สุทัศน์ กล่าวว่า การออกแบบก่อสร้างอาคารให้เป็นไปตามมาตรฐานปัจจุบัน สามารถช่วยป้องกันหรือลดความสูญเสียจากเหตุแผ่นดินไหวได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ดังนั้นหากเจ้าของโครงการให้ความสำคัญกับเรื่องแผ่นดินไหว มีการออกแบบและก่อสร้างอย่างถูกต้อง รวมถึงภาครัฐมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ก็จะทำให้ประชาชนในตึกนั้นเกิดความมั่นใจมากขึ้น ส่วนตึกหรืออาคารที่สร้างก่อนประกาศใช้กฎหมายควบคุมการออกแบบอาคาร พ.ศ.2550 สามารถให้วิศวกรเข้ามาตรวจสอบ เพื่อยืนยันความปลอดภัยอาคาร รวมถึงการใช้การเสริมแรงให้อาคารเพื่อรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวและลมได้ดีขึ้น หากมีความจำเป็น
สำหรับท่านที่สนใจ สามารถดาวน์โหลด คู่มือการสำรวจความเสียหายขั้นต้นของโครงสร้างอาคารหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ที่ https://shorturl.at/MclFd

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กรมอุตุฯ เกาะติดแผ่นดินไหวฟิลิปปินส์ ยันไม่กระทบไทย
กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า เหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.6 นอกชายฝั่งฟิลิปปินส์ ไม่กระทบประเทศไทย โดยวันที่ 10 ตุลาคม 2568 เวลา 08.43 น. ตามเวลาไทย สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS) รายงานการเกิดแผ่นดินไหว
เช็กที่นี่! เปิดจุดในกรุงเทพฯ รับรู้แรงสั่นสะเทือน แผ่นดินไหวขนาด 5.4 ในทะเลเมียนมา
กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานแผ่นดินไหวในทะเล ขนาด 5.4 ความลึก 10 กม. บริเวณ ใกล้ชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศเมียนมา ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของ อ.แม่สอด จ.ตาก ประมาณ 211 กม.
มท.กำชับ ‘ตระหนักแต่ไม่ตระหนก’ ภูเก็ตพร้อมแผนรับมือแผ่นดินไหว-สึนามิ
กระทรวงมหาดไทยย้ำเตรียมพร้อมทุกด้านรับมือแผ่นดินไหวและภัยสึนามิ จังหวัดภูเก็ตร่วมประชุมออนไลน์ซักซ้อมแผนเฝ้าระวัง พร้อมยืนยันสถานการณ์แผ่นดินไหวล่าสุดไม่กระทบ
นายกฯ สรุปเหตุตึกสตง.ถล่ม พบออกแบบ-วิธีก่อสร้างบกพร่อง ส่งข้อมูล 'ดีเอสไอ-ตร.' ชี้ใครผิด
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามผลการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีอาคารที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อันเนื่องมาจากแผ่นดินไหว
แผ่นดินไหวรุนแรงเขย่ากรุงโบโกตา เมืองหลวงของโคลอมเบีย
เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงในเมืองหลวงโบโกตาของโคลอมเบียเมื่อเช้าวันอาทิตย์ ส่งผลให้อาคารบ้านเรือนสั่นไหว ไซเรนส่งเสียงอื้ออึง และผู้คนพา


