บาดแผลจากชั้น 14: ทักษิณคืนคุก-จุดเสื่อมของนายกฯ แพทองธาร

คำพูดของ แพทองธาร ชินวัตร ในสภาฯ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 ว่า “ขอให้ทุกฝ่ายยอมรับการตรวจสอบของแพทยสภา” เคยถูกใช้เป็นเกราะกำบังท่ามกลางการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

เมื่อเสียงวิจารณ์ดังขึ้นจากทุกทิศ นายกฯ สาวประกาศหนักแน่นว่า “ดิฉันไม่สามารถทำให้ท่านเชื่อได้ ถ้าไม่เชื่อ ก็ให้แพทยสภาพิสูจน์”

แต่เมื่อ มติแพทยสภา ออกมาเอาผิดแพทย์ 3 ราย โดยเฉพาะ 2 รายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการรับตัว ทักษิณ ชินวัตร เข้าชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ สิ่งที่เคยเป็นหลักฐานความชอบธรรมกลับกลายเป็นรอยร้าวที่ย้อนตีกลับมาที่ผู้นำรัฐบาล

แม้มติแพทยสภาไม่ใช่คำพิพากษาทางกฎหมาย แต่คือการวินิจฉัยทางจริยธรรม บนหลักฐานจากโรงพยาบาลตำรวจเอง

หนึ่งในแพทย์ถูกพักใบอนุญาต 1 ปี อีกคนถูกตัดสิทธิ์รับรองการศึกษา ส่วนอีกรายโดนตักเตือน ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความผิดปกติของกระบวนการส่งผู้ต้องขังขึ้นชั้น 14 ที่ ไม่อาจปฏิเสธได้

และนี่คือคำตอบที่นายกฯ เรียกร้องเองในสภา “ขอให้เชื่อแพทยสภา”  คำที่วันนี้ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเธอเอง

มติที่วินิจฉัยว่าแพทย์กระทำผิดจริยธรรม เท่ากับบ่งชี้โดยนัยว่า การส่งทักษิณเข้ารพ.ตำรวจนั้น ไม่มีเหตุผลทางการแพทย์รองรับ

แต่รัฐบาลกลับพยายามลดทอนน้ำหนักของมติดังกล่าว ด้วยข้ออ้างว่า “ยังไม่ถึงที่สุด” นี่คือการอิงกฎหมายเพื่อกลบความจริงทางสังคมอย่างน่าเคลือบแคลง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ แพทองธาร ใช้ “หน้าที่ของแพทย์และกรมราชทัณฑ์” เป็นเกราะป้องกันตัวเองจากคำถามสาธารณะ

แต่คำปฏิเสธซ้ำๆ กำลังเผยให้เห็นชัดขึ้นว่า การเมืองซ้อนอยู่ในกระบวนการยุติธรรม และยิ่งแตกต่างจากเดิม เพราะคราวนี้ ผู้ที่เคยขอให้เชื่อมั่นในระบบ กลับกลายเป็นคนละเลยหลักการนั้นด้วยตัวเอง

แพทยสภาไม่ได้ตรวจวินิจฉัยอาการป่วยของทักษิณ แต่ลงโทษแพทย์ที่จัดการรักษา โดยอ้างข้อมูลที่ไม่มีหลักฐานเพียงพอ ซึ่งเปิดช่องให้สังคมตีความว่า นี่อาจเป็นการ “จัดฉาก” เพื่อหลบหลีกโทษจำคุก

ถ้าแพทย์ให้ข้อมูลเกินจริง แล้ว ผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง กลับไม่มีใครตั้งคำถาม นั่นย่อมสะท้อนความล้มเหลวของหลักนิติธรรม

และหากนายกฯ ยังยืนบนเวทีด้วยวาทะ “ไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม” ก็ควรเป็นคนแรกที่ ผลักดันให้ความยุติธรรมทำงานได้โดยปราศจากอคติ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นความพยายามเบี่ยงประเด็น จากทั้งโฆษกพรรคและแกนนำเพื่อไทย ที่ต่างพร้อมใจกันปกป้องภาพลักษณ์ของ “คุณพ่อ” มากกว่าชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาชน

พฤติกรรมเช่นนี้ กำลัง บั่นทอนเสถียรภาพรัฐบาล และฉุดความน่าเชื่อถือของนายกฯ ลงไปในทุกวัน

เพราะมติแพทยสภา ไม่ใช่แค่เอกสารธรรมดา แต่มันคือเสียงจากองค์กรวิชาชีพที่ไม่อาจบิดเบือน ไม่ใช่ฝ่ายค้าน ไม่ใช่นักข่าว แต่คือ “แพทย์” ที่เคยถูกเรียกร้องให้เป็นที่พึ่ง

และคำถามที่เริ่มก่อตัวทันทีคือ ถ้าแพทย์ทำผิด ใครคือผู้ร่วมวางแผน? และคนคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก ทักษิณ ชินวัตร

คำถามนี้กำลังกลายเป็นไฟที่ เผาผลาญความชอบธรรมของรัฐบาล และย้อนกลับไปถึงพรรคเพื่อไทยที่ติดกับดักระหว่าง ความยุติธรรม กับ มรดกทางการเมืองของคนคนเดียว

เมื่อ “ความยุติธรรม” กลายเป็นเครื่องมือที่เลือกใช้เฉพาะเวลาตนได้ประโยชน์ ความน่าเชื่อถือก็ไม่เหลือให้เก็บแม้แต่เศษฝุ่น

และการแสร้ง “ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยว” จะไม่มีใครเชื่ออีกต่อไป เพราะ ผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากกระบวนการนี้ คือคนเดียวกับผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาล

มติแพทยสภาจึงไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือ จุดเริ่มต้นของการไต่สวนโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ในวันที่ 13 มิ.ย. 2568

ศาลไม่ได้จะพิจารณาว่าป่วยจริงหรือหลอก แต่จะไต่สวนว่า มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือไม่  นั่นคือแก่นสำคัญของกระบวนการที่กำลังจะเริ่ม

และหากศาลเห็นว่ามีการหลีกเลี่ยงโทษจำคุกโดยมิชอบ ศาลอาจมีคำสั่งให้จำเลยกลับไปรับโทษตามคำพิพากษา ท่ามกลางสายตาของทั้งประเทศ

เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การลงโทษหมอ แต่เป็นการ เปิดประตูสู่การคืนคุกของทักษิณ และเปิดแผลใหญ่กลางรัฐบาล

และมันกำลังย้อนกลับไปสู่คำพูดที่นายกฯ เคยเปล่งเสียงอย่างมั่นใจในสภา  “ขอให้เชื่อแพทยสภา”

คำพูดนั้นวันนี้กลายเป็น คำพิพากษาทางการเมือง ที่ย้อนกลับมาเฆี่ยนตัวผู้นำหญิงของประเทศเข้าเต็มแรง

นี่ไม่ใช่เรื่องของทักษิณเพียงคนเดียว แต่มันคือ ภาพรวมของความเสื่อมที่เกิดจากการปฏิเสธความรับผิดชอบ ทั้งที่หลักฐานถูกหยิบยื่นโดยมือของตัวเอง

เพราะไม่มีอะไรเจ็บไปกว่าการโดน “ตบหน้า” ด้วยคำพูดของตัวเอง และในครั้งนี้ คนที่ตบหน้ารัฐบาล ไม่ใช่ฝ่ายค้าน แต่คือมติแพทยสภา

และถ้าศาลฎีกาเห็นว่ามีการปกปิดหรือหลีกเลี่ยงโทษโดยจงใจ รัฐบาลนี้จะไม่เหลือคำอธิบายใดที่สังคมยอมรับได้อีก

นั่นจะเป็น จุดเริ่มของการคืนคุก และอาจกลายเป็น แรงกระเพื่อมที่ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลเดินไปสู่ทางแยก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'โอ๊ค' เข้าเยี่ยม 'ทักษิณ' คุยเรื่องหลานๆ พร้อมฝากให้กำลังใจ 'ยศชนัน'

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน กรุงเทพมหานคร ระหว่างการเดินทางเข้าเยี่ยม นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการเข้าเยี่ยมครั้งที่ 27 ภายหลังถูกคุมขังครบ 3 เดือน เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา การเข้าเยี่ยมครั้งนี้มี นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค บุตรชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร

‘อิ๊งค์-ปอ’ เข้าเยี่ยม ‘ทักษิณ’ คุยแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย ฝากกำลังใจยศชนัน

“อิ๊งค์-ปอ” ตัวแทนครอบครัวเข้าเยี่ยม “ทักษิณ ชินวัตร” ครั้งที่ 26 ภายในเรือนจำกลางคลองเปรม เผยมีการพูดถึงแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย พร้อมส่งกำลังใจให้ “ศ.ยศ

'หมอวรงค์' มองภาพ 'เบนสมิธ' ร่วมวง 'ทักษิณ-ธรรมนัส' น่ามีผลต่อปท. มากกว่ารูปเก่า 'อนุทิน'

ภาพที่มีเบน สมิธกับทักษิณ และมีธรรมนัส น่าจะมีน้ำหนักสร้างผลกระทบต่อประเทศชาติมากกว่า เมื่อเทียบกับภาพเมื่อ 10 ปีที่แล้วของนายอนุทิน แต่สิ่งที่นายอนุทินต้องพิสูจน์ อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างผ่านมาทางธรรมนัสก็ได้

‘เสรีพิศุทธ์’ จัดเต็ม ‘ทักษิณ’ ยังไม่สิ้นกรรม แฉลึก...ศึกสีกากี

กลายเป็นเรื่องที่สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมาก กับการออกเปิดโปง-แฉข้อมูลเรื่องตำรวจรับผลประโยชน์ รับส่วยจากเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์

'ภูมิใจไทย'โชว์พร้อมยุบสภา 'ทักษิณ'ถูกสกัด-'พท.แพแตก'

การเมืองเวลานี้ต้องจับตาว่าจะมีการเลือกตั้งตาม MOA ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ที่กำหนดวันเลือกตั้งไว้วันที่ 31 มกราคม 2569 เพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่หรือไม่

พูดแบบนี้ได้ยังไง! อดีตลูกจ้างวอยซ์ ลั่นไม่เห็นใจทักษิณ หลังคดี 112 ถูกอุทธรณ์

อินฟลูเอนเซอร์สายการเมือง และอดีตพิธีกรข่าววอยซ์ทีวีของตระกูลชินวัตร แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อออนไลน์ หลังอัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ข