กระเช้าไฟฟ้าพันล้านขึ้นภูกระดึง คุ้มค่าด้านเศรษฐกิจ-อนุรักษ์ระบบนิเวศ?

รัฐบาล’อิ๊งค์’ใส่เกียร์เดินหน้าโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง  โดยนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำทีมแถลงข่าว พร้อมนายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ประธานกรรมการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)  อพท. และนายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการ อพท.เข้าร่วม ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักเรื่องการออกแบบและก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง

นายสรวงศ์ เทียนทอง ย้ำชัดโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล จากข้อมูลมีนักท่องเที่ยวขึ้นภูกระดึงเฉลี่ย 65,000 คนต่อปี  ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนหนุ่มสาว เพราะเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติขึ้นบนภูมีระยะทางไกล ทุลักทุเล หากมีกระเช้าจะรองรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย รวมถึงกลุ่มเปราะบาง  อย่างผู้สูงอายุ ผู้พิการ สามารถเข้าถึงธรรมชาติอย่างเท่าเทียม กระเช้าขึ้นภูกระดึงระยะทาง 4.4 กิโลเมตร ต้องก่อสร้างเสาทั้งหมด 12 ต้น โดยจะใช้พื้นที่อย่างจำกัด  กระเช้าจะมี 32 ตู้ ให้บริการนักท่องเที่ยว 8 คนต่อตู้  รองรับนักท่องเที่ยว 5,000 คนต่อวัน เมื่อกระเช้าแล้วเสร็จคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

“ การออกแบบกระเช้าไฟฟ้าไม่ได้คำนึงเพียงแค่การอำนวยความสะดวก แต่เป็นเครื่องมือของการอนุรักษ์ที่จะลดการเดินเท้าในเขตเปราะบาง ลดการพักแรมบนภู ลดขยะ ลดภาระของเจ้าหน้าที่ ลดความเสี่ยงต่อระบบนิเวศ เป็นการเข้าถึงโดยไม่สัมผัสโดยตรง อนุรักษ์ภูกระดึงด้วยเทคโนโลยีที่เคารพธรรมชาติ “ รมว.ท่องเที่ยวกล่าว

เจ้ากระทรวงยืนยันการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง มีพื้นที่โครงการส่วนหนึ่งตั้งอยู่ในเขตลุ่มน้ำชั้น 1A ถือเป็นพื้นที่ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ โครงการนี้จึงต้องผ่านการจัดทำ EIA อย่างเข้มข้น และดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายหรือกฎระเบียบทุกประการ ครอบคลุมทั้งสิ่งแวดล้อม กายภาพ สังคม สุขภาพ และชุมชน พร้อมทั้งจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย เพื่อให้โครงการนี้เกิดขึ้นอย่างโปร่งใสและมีส่วนร่วม ออกแบบโดยไม่รบกวนธรรมชาติ สถานีและเส้นทางกระเช้าถูกเลือกให้กระทบต่อธรรมชาติน้อยที่สุดและเมื่อกระเช้าพร้อมใช้งานแนวโน้มการพักแรมบนยอดภูจะลดลง ช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศในระยะยาว รวมถึงปริมาณขยะตกค้างที่มีแนวโน้มลดลง

“ กระเช้าไฟฟ้าภูกระดึงจะช่วยกระจายรายได้จากยอดภูลงสู่ชุมชนตีนภู เพราะนักท่องเที่ยวจะสามารถขึ้นไปชื่นชมธรรมชาติบนยอดภูและลงมาตีนภูได้ในวันเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องค้างคืน  กลายเป็นโอกาสของชุมชนโดยรอบตีนภูในการประกอบธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ร้านอาหาร หรือกิจกรรมท่องเที่ยวท้องถิ่น นอกจากนั้นยังใช้กระเช้าไฟฟ้า เป็นเส้นทางช่วยชีวิตในยามฉุกเฉิน ทั้งนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ และแม้แต่สัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นการพาผู้บาดเจ็บลงจากภู ลำเลียงอุปกรณ์ดับไฟป่า หรือช่วยสัตว์ที่บาดเจ็บจากกับดัก  “ นายสรวงศ์ กล่าว

สำหรับ Timeline ก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง นายสรวงศ์ กล่าวว่า  มี 8 ขั้นตอนหลักด้วยกัน ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี 6 เดือนโดยประมาณ นับจากเดือนพฤษภาคม 2568  ไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2570  จะปักเสากระเช้าต้นแรกปลายปี 2569  การก่อสร้างจะแล้วเสร็จใช้ฤดูหนาวปี 2570  โครงการนี้คาดว่าจะใช้งบฯ ราว 1,000 ล้านบาท ไม่รวมงบฯ ศึกษาออกแบบ 25.4 ล้านบาท ที่ครม.อนุมัติไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งปัจจุบัน อพท. ได้วางกรอบการดำเนินงานไว้อย่างรอบคอบ ทุกขั้นตอนอยู่ภายใต้กฎหมายและกลไกการกลั่นกรองที่ชัดเจน

ระยะที่ 1 (ขั้นตอนที่ 1-3) ระยะเวลาการดำเนินงานโดยประมาณ 10 เดือน (พ.ค. 2568 – มี.ค.2569) จะเป็นส่วนจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างละเอียด โดยศึกษาครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม กายภาพ สังคม สุขภาพ และวิถีชุมชน มีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเปิดกว้าง รวมถึงภาคประชาสังคม

ระยะที่ 2 (ขั้นตอนที่ 4-6) ระยะเวลาการดำเนินงานประมาณ 5 เดือน (เม.ย. – ส.ค. 2569) เข้าสู่กระบวนการยื่นเสนอรายงาน EIA ซึ่งจะต้องทำการเสนอกับสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) โดยคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) และต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ซึ่งคณะกรรมการผู้ชำนาญการ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเป็นอิสระและมีความเป็นกลางอย่างสูงในการพิจารณา ก่อนนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี รวมถึงขออนุญาตการก่อสร้างต่อกรมอุทยานแห่งชาติฯ

ระยะที่ 3 (ขั้นตอนที่ 7-8) ระยะเวลาการดำเนินงานประมาณ 15 เดือน (ก.ย. 2569 – พ.ย. 2570) เข้าสู่ขั้นตอนของการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างโดยประมาณ 12 เดือน

การก่อสร้างกระเช้าภูกระดึงมีการพูดถึงมาตลอด 30  ปี แม้ในพื้นที่มีกลุ่มที่เห็นด้วยกับโครงการฯ  แต่ยังมีกลุ่มชาวบ้านและนักอนุรักษ์คัดค้านกระเช้า เพราะห่วงผลกระทบสิ่งแวดล้อมและเสน่ห์การท่องเที่ยวเดินป่าศึกษาธรรมชาติภูกระดึงจะสูญหายไป รวมถึงตั้งคำถามถึงความเหมาะสมและความคุ้มค่าในการทุ่มงบพันล้านก่อสร้าง

แผนที่โครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง

นายภานุเดช เกิดมะลิ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กล่าวว่า ไทม์ไลน์โครงการกระเช้าฯ มุ่งหวังหาเสียงมากกว่าจะเกิดขึ้นจริงในกระบวนการพิจารณาข้อมูลตามกฎหมายเอง ยังมีอีกหลายขั้นตอน ซึ่งคงไม่ผ่านกันไปง่ายๆ โครงการกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง เป็นโครงการที่คนจะสร้าง มโนเป็นภาพขึ้นมา หวังเพียงเอางบประมาณออกมาใช้กันหรือไม่ โครงการสำรวจและออกแบบก่อสร้างที่ศึกษานี้ ยังไม่รวมการศึกษาระบบต่างๆ ที่จะต้องพัฒนาไปพร้อมกัน เช่น ระบบขนส่งด้านบนภู สถานีตามจุดท่องเที่ยว ฯลฯ รวมถึงระบบที่พื้นราบด้วย  เรายังไม่เห็นภาพรวมของเอกสารรายงานโครงการฉบับเต็มเพื่อพิจารณา

นอกจากนี้ ปัจจุบันมีรายงาน EIA มีการแก้ไขใหม่โดยมหาวิทยาลัยบูรพา ขณะที่ ครม.อนุมัติงบฯ ศึกษาออกแบบโครงการสูงถึง 25.4 ล้านบาท ซึ่งใช้งบจากภาษีประชาชนเอามาศึกษาโครงการเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อจะเอาให้ผ่านให้ได้  มีคำถามกลับไป อพท. ควรศึกษาเทคนิควิธีการ รายละเอียดของกระเช้าให้ชัดเจนก่อน เพื่อจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปพิจารณาประกอบใน EIA แต่ตอนนี้ดูเหมือน EIA ก็ทำ ทางเทคนิคก็ทำไป แล้วค่อยนำเอกสารทั้งสองมาประกบกัน เพื่อเสนอให้ สผ. พิจารณา กระบวนการแบบนี้ไม่ถูกต้อง เป็นการฟอกให้เกิดโครงการ ฝาก คชก. พิจารณาโครงการที่มีผลกระทบต่อลุ่มน้ำชั้น 1 เอ อย่างรัดกุม

“ อยากเสนอให้ทบทวนโครงการฯ ด้วยการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ หรือ SEA ก่อน กระเช้าภูกระดึงเป็นคำตอบที่ตอบโจทย์การพัฒนาจังหวัดเลยด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวหรือไม่  มีทางเลือกอื่นๆ ในการพัฒนาอย่างไร เมื่อไม่มี SEA ก็ไม่เห็นภาพรวมเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม แต่ไปหยิบแค่กระเช้าภูกระดึงมาผลักดันก่อสร้างในพื้นที่อนุรักษ์จะสูญเสียมากกว่า ประเด็นความไม่ชัดเจนที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าด้านเศรษฐกิจ เรื่องนี้เป็นคำถามค้างมาตั้งแต่ EIA ฉบับเก่า มาวันนี้เศรษฐกิจมีแต่ทรุด นักท่องเที่ยวหาย ปัญหาการก่อสร้างและคอรัปชั่นโครงการก่อสร้างกันอย่างอุกอาจ สังคมไทยยังยอมให้เราเดินซ้ำรอยเดิมกัน ไม่รวมคำถามหน่วยงานใดจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลระบบโครงสร้าง ระบบนิเวศ การจัดการนักท่องเที่ยว รวมถึงเงินรายได้ “ นายภานุเดช กล่าว

อีกข้อกังวลสำคัญ ประธานมูลนิธิสืบฯ กล่าวว่า อุทยานฯ มี Carrying Capacity จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในพื้นที่ตามที่จะรับได้โดยงานวิชาการ 2,000 คนต่อวัน ซึ่งเป็นช่วงพีคของการท่องเที่ยวภูกระดึง วันหยุดยาว เทศกาลปีใหม่  ซึ่งไม่สอดคล้องกับปริมาณนักท่องเที่ยวที่ต้องมีเป็นจำนวนมากถึง 5,000-6,000 คนต่อวัน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อการลงทุน รวมช่วงเวลาที่มีการเปิดและปิดการท่องเที่ยวบนภูกระดึง เพื่อให้ระบบนิเวศ สภาพธรรมชาติได้ฟื้นตัว จะบริหารจัดการอย่างไร เรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเช่นกัน

“ หากควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวได้ ผลกระทบจะไม่รุนแรง สามารถบริหารจัดการได้  หากเพิ่มมากกว่านี้แสดงว่าไม่เน้นศักยภาพของพื้นที่ แต่เน้นปริมาณคนขึ้นไป  ใครจะรับผิดชอบระบบนิเวศที่เสียหาย “ ภานุเดชย้ำ

มิติการเข้าถึงธรรมชาติอย่างเท่าเทียม ภานุเดช แสดงทัศนะว่า  ประเทศไทยมีความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติให้เข้าไปท่องเที่ยวเรียนรู้อย่างพอเพียงและมีรูปแบบหลากหลายรองรับการบริการนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม มีอุทยานฯ ที่รถยนต์เข้าถึง  ไม่จำเป็นต้องมีกระเช้าภูกระดึงเพื่อให้คนทุกกลุ่มเข้าถึง อีกทั้งคุณค่าของภูกระดึงมีศักยภาพมากพอในการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนผ่านการเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ชมความสวยงามของแต่ละซำแต่ละภู ระหว่างทางมีจุดพัก ด้านบนมีบริเวณแคมป์กราวที่พัฒนารองรับผู้ใช้บริการครบถ้วน  เมื่อขึ้นภูกระดึงแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถไปชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก เรียนรู้ธรรมชาติในจุดต่างๆ ซึ่งแต่ละจุดห่างกัน จากผาหนึ่งสู่อีกผาหนึ่งหลายกิโลเมตร  บางจุดเป็นสิบกิโลเมตร  ต้องใช้เวลาเดิน สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้ามีกระเช้า  

“ คนเที่ยวภูกระดึงนิยมชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก ซึ่งช่วงเวลาชมไม่สัมพันธ์การเปิด-ปิดของกระเช้า โดยจากรายงานเดิมกระเช้าจะให้บริการ 8 ชั่วโมงต่อวัน เริ่มให้บริการ 9.00 น.  และหยุดบริการ 17.00 น.ของแต่ละวัน ปกติหากจะดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นต้องไปจากที่พักตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง ถ้าเปิดปิดแบบนี้จะไม่ต้องพักค้างได้ยังไง   อ้างว่ากระเช้าจะลดจำนวนนักท่องเที่ยวพักค้าง  ทำไม่ได้แน่   หากกระเช้าสร้างจริง เชื่อว่า คนอยากขึ้นกระเช้าช่วงแรกๆ แต่สถานีปลายทางของกระเช้าภูกระดึง คือ บริเวณผาหมากดูก จุดนี้ไม่มีอะไรดู  จุดท่องเที่ยวไฮไลต์ก็ห่างจากผาหมากดูกหลายกิโลเมตร เห็นว่าระยะยาวไม่ได้ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว  “ ภานุเดช กล่าว

ประธานมูลนิธิสืบฯ กล่าวในท้ายภูกระดึงถือเป็นอัญมณีที่มีค่าของประเทศไทย และได้ขึ้นทะเบียนอุทยานมรดกอาเซียน แต่คุณค่าจะถูกลบด้วยกระเช้า รัฐบาลควรหารูปแบบการพัฒนาพื้นที่ที่เหมาะสมและผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าโดยไม่ต้องลงทุนถึงพันล้าน การมีผู้ออกมาคัดค้าน ทักท้วงในสังคมเป็นวงกว้าง หน่วยงานจะรับฟังหรือจัดการกับข้อคัดค้านอย่างไร เหมือนฉายภาพซ้ำมา 30 ปีแล้ว ขณะที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ หน่วยงานที่มีภารกิจหลักดูแลคุ้มครองพื้นที่ป่า สัตว์ป่า แต่กลับไม่ให้ข้อมูลงานคุ้มครองในพื้นที่ภูกระดึง กลายมาร่วมโปรเจ็คขายฝันกับรัฐบาลและอพท.  ถ้ามีผู้บริหารออกแบบการจัดการท่องเที่ยวในอุทยานฯ ภูกระดึงโดยไม่ต้องสร้างกระเช้า ยกระดับภูกระดึงเป็นพื้นที่เรียนรู้ธรรมชาติ สร้างมูลค่าเพิ่มผ่านกิจกรรมและรูปแบบที่หลากหลาย จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่อุทยานฯ ชุมชน จังหวัด ก็กระตุ้นเศรษฐกิจได้เช่นกัน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สุดปัง! อพท. ส่ง “ชุมชนบ้านผาหมี” คว้ารองชนะเลิศรางวัลนานาชาติท่องเที่ยวยั่งยืน Skål International Sustainable Tourism Awards 2025

อพท. ส่งผลงาน ชุมชนบ้านผาหมี จังหวัดเชียงราย ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาข่าท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติ ภายใต้ผลงานชื่อ "จากรากเหง้าสู่อนาคต

สุดปลื้ม! อพท.ส่งสุโขทัยคว้ารางวัล Green Destinations Gold Awards หนึ่งเดียวของไทยปีนี้ พร้อม 5 แหล่งท่องเที่ยวขึ้นแท่น 100 แหล่งท่องเที่ยวยั่งยืนโลก

เมืองเก่าสุโขทัย (Mueang Kao Sukhothai) ได้รับการรับรองสถานะความยั่งยืน Green Destinations Gold Award 2025 โดย Green Destinations ถือเป็นเหรียญทองที่ 2

อพท. ผนึกกำลังภาคีเครือข่ายร่วมขับเคลื่อนพัทยาสู่เมืองเครือข่ายสร้างสรรค์ของยูเนสโกด้านภาพยนตร์ ภายใต้งาน Thailand Creative Cities Network 2025

องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. เดินหน้าผลักดันเมืองพัทยาสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network: UCCN)

อพท. คว้ารางวัลองค์กรผู้นำด้านการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน “Good Travel Frontrunner Awards” 1 ใน 5 ประเทศแรกของโลก

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ได้มอบหมายให้ ดร.ชูวิทย์ มิตรชอบ รองผู้อำนวยการด้านยุทธศาสตร์