
ในไทยมีการเก็บข้อมูลจากจังหวัดภูเก็ต พบว่าน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นจริงกว่าในอดีต หรือร้อนเพิ่มขึ้น 0.024 องศาฯ ต่อทศวรรษ และมีข้อมูลระบุอีกว่า ถ้าอุณหภูมิในน้ำทะเลสูงกว่า 30.1 องศา โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนถ้าทะเลร้อน นานประมาณ 2-3สัปดาห์ ก็จะทำให้เกิดปะการังฟอกขาว
แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่มีความสำคัญอย่างมากในท้องทะเล แม้ว่าจะครอบคลุมพื้นที่ใต้ทะเล ราว 1% ของทั้งโลก แต่สิ่งมีชีวิตในทะเลประมาณ 25% ใช้ประโยชน์จากปะการัง ทั้งเป็นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร อนุบาล และที่หลบภัย สถานการณ์ปะการังทั่วโลกในปัจจุบันกำลังเผชิญภัยคุกคาม ที่สำคัญก็คือภาวะโลกร้อนที่ทำให้เกิดการฟอกขาวสำหรับประเทศไทย มีพื้นที่แนวปะการังทั้งหมด 149,182 ไร่ ซึ่งเผชิญวิกฤติ ครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2567 โดยเกิดปะการังฟอกขาวประมาณ 60–80% ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย
แม้ว่าในช่วงก่อนปี 2567 จะมีความพยายามของหลายองค์กร ได้ยื่นมามาช่วยฟื้นฟูปะการัง ซึ่งใช้วิธี การที่หลากหลายเช่น การโยนยางรถยนต์ไม่ใช้แล้ว การนำแท่งปูนไปโยนในทะเลเพื่อเลียนแบบธรรมชาติ เป็นที่ยึดเกาะของปะการัง หรือการนำกิ่งปะการังที่หัก กลับไปปลูกในทะเล ด้านกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.)ได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติงานฟื้นฟูปะการังในปี 2568 โดยเพิ่มพื้นที่ฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง กว่า 12 ไร่ ใน 7 จังหวัด และปลูกฟื้นฟูปะการังในพื้นที่กว่า 24 ไร่ 7 จังหวัด โดยใช้ท้ั้งองค์ความรู็และเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วย แต่การฟื้นฟู ก็ยังต้องการการลงมือปฎิบัติอีกมาก

ล่าสุดทาง ทช. และบริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด ในเครือ SCG ได้ร่วมกันทำ”โครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025 “ซึ่งเป็นการประกวดออกแบบ ฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง ด้วยเทคโนโลยี 3D Printing จาก SCG เพื่อค้นหาไอเดียจากมหาวิทยาลัยและสถาบันชั้นนำ ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ Thai Ocean Academy เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบวัสดุฐานเกาะปะการัง ซึ่งการออกแบบมีการใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล สถาปัตยกรรม วิศวกรรม ชีววิทยา และสิ่งแวดล้อม มาผสานกับเทคโนโลยี 3D Printing จาก SCG เพื่อพัฒนาวัสดุฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการังที่สามารถนำไปใช้ได้จริง สร้างแหล่งอนุรักษ์ปะการังอย่างยั่งยืน
จากการเฟ้นหาไอเดียออกแบบ ปรากฎว่าผลงาน “Whirling Wave Pagoda หรือเจดีย์เกลียวคลื่น” จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ผสานความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการยึดเกาะของตัวอ่อนปะการัง ระบบนิเวศชายฝั่งทะเล และสภาพแวดล้อมใต้น้ำ ชูจุดแข็งของเทคโนโลยี 3D Printing จาก SCG ที่มีการขึ้นรูปเป็นชั้นๆ ทรงเกลียวโค้งช่วยบังคับทิศทางของกระแสน้ำใต้ทะเล ช่วยให้ตัวอ่อนปะการังลงเกาะได้ง่ายขึ้น มีพื้นที่ผิวสัมผัสมาก และมีช่องหรือโพรงลดการต้านทานกระแสน้ำ ป้องกันการสะสมของตะกอนและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนสารอาหาร ตลอดจนเสนอไอเดียนำเปลือกหอยเหลือทิ้งจากชาวประมงมาบดละเอียดผสมกับปูนมอร์ตาร์นำมาขึ้นรูป ที่จะช่วยเพิ่มสารเหนี่ยวนำการลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง

อุกกฤต สตภูมินทร์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า ทั้งโลกมีแนวปะการัง ประมาณ 4แสนตารางกม.หรือ1% ของพื้นผิวโลกแม้เพียงแค่1% จะน้อยมากแต่มีความสำคัญยิ่งใหญ่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต ส่วนประเทศไทยมีพื้นที่แนวปะการัง 300 กว่าตารางกิโลเมตร ซึ่งพื้นที่ขนาดนี้มีความสำคัญมากต้องดูแลรักษา แต่ปัญหาวันนี้คือ ไทยกำลังเผชิญวิกฤติการฟอกขาวที่รุนแรง การเสื่อมโทรมของปะการัง ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย แม้ความเสื่อมโทรมหลักๆ มาจากพฤติกรรมมนุษย์ แต่ปัญหาที่มาเร็วและมาแรง ในขณะนี้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีผลกระทบต่อปะการังอย่างมาก แม้ว่าตามธรรมชาติ ปะการังจะฟื้นฟูตัวเองได้ แต่ก้มีข้อกังวลว่าการฟื้นตัวภายใต้แรงบีบคั้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิกาศ จะทำให้ปะการังไม่สามารถฟื้นตัวเองได้เร็ว หรือฟื้นตัวเองไม่ได้ มีข้อบ่งชี้ว่า โลกเรามีการปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิสูงขึ้น1-2% ความร้อนของโลกทำให้น้ำทะเลร้อนขึ้นไปด้วย ในไทยมีการเก็บข้อมูลจากจังหวัดภูเก็ต พบว่าน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นจริงกว่าในอดีต หรือร้อนเพิ่มขึ้น 0.024 องศาฯ ต่อทศวรรษ และมีข้อมูลระบุอีกว่า ถ้าอุณหภูมิในน้ำทะเลสูงกว่า 30.1 องศา โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนถ้าทะเลร้อน นานประมาณ 2-3สัปดาห์ ก็จะทำให้เกิดปะการังฟอกขาว
“จากอดีตที่ผ่านมา ปะการังฟอกขาวเกิดขึ้น 10 กว่าครั้งในบ้านเรา ครั้งแรกที่พบคือ ค.ศ.1990 ซึ่งเรื่องนี้เป็นเทรนด์ของธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลง ปะการังฟอกขาว คือ เนื้อเยื่อของปะการังจะตาย การฟอกขาวของปะการังหมายถึงความเสื่อมโทรมของท้องทะเล และแนวโน้มที่อุณหภูมิของโลกและน้ำทะเลที่จะเพิ่มสูงขึ้น บ่งชี้ว่ามีแนวโน้มที่ปะการังจะฟอกขาวถี่ขึ้น บ่อยขึ้น และถ้าปะปารังปรับตัวไม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แรงกดดัน จากโลกร้อน ทำให้ปะการังปรับตัวไม่ทัน การที่เรามาช่วยจึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยปะการังไม่ให้ตาย เรื่องนี้เราจะต้องทำให้เป็น Large Scale ในอนาคตอีกด้วย “

การฟื้นฟูทำอย่างไร รองอธิบดี ทช.กล่าวว่า ในยุคนี้ ต้องมีการทำนวัตกรรมเข้ามาช่วย ซึ้งปัจจุบันมี 4 แนวทาง Restoration หรือการสร้่างขึ้นมาใหม่ ด้วยการนำปะการังแตกหักมาปลูกใหม่ 2. Rehabilitation สร้างระบบนิเวศน์ขึ้นมาใหม่ เช่น การสร้างปะการ้งเทียม หรือสร้างฐานให้ให้ปะการังมาเกาะ ให้สิ่งที่สูญเสียไปกลับมา 3. Rewilding การเข้าไปฟื้นแนวปะการังที่ได้รับผลกระทบ และ4.Regeneration การลดผลกระทบภัยคุกตามต่อแนวปะการัง
“การทำเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ทำ แต่ทำบนฐานความรู้ การทดลองและวิจัย ว่าทำให้ปะการรังฟื้นตัวได้หรือไม่ หรือสามารถเกิดระบบนิเวศให้สัตว์น้ำอื่นๆด้วยหรือไม่ ตัวอย่างการใช้เคอนกรีต ผ่านมา 10 กว่าปี ดูไม่ออก ว่าเป็นคอนกรีน แต่เป็นการฟื้นฟูปะการังให้เป็นธรรมชาติ ทดสอบแล้วว่าหากมีการดีไซน์ดีๆ สิ่งที่ฟื้นตัวมาจะเหมือนกับธรรมชาติมาก “รองอธิบดีทช.กล่าว

เฉลิมวุฒิ สงวนญาติ Concrete and Construction Technology Director หน่วยงาน Innovation and Technology ธุรกิจ SCG Cement and Green Solutions เผยว่า ที่ผ่านมา SCG ได้นำเทคโนโลยี 3D Printing และคิดค้นวัสดุปูนมอร์ตาร์สูตรพิเศษที่ผลิตขึ้นอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีค่า pH ใกล้เคียงกับน้ำทะเล มาผลิตเป็นวัสดุฐานลงเกาะสำหรับให้ตัวอ่อนปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลอิงอาศัยและเจริญเติบโต ซึ่งเราดำเนินการร่วมกับทช. มาตลอดระยะเวลาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเกาะไม้ท่อน เกาะราชาใหญ่ เกาะสาก เกาะแสมสาร เป็นต้น แสดงถึงความมุ่งมั่นการพัฒนานวัตกรรม ของ SCG คือ ‘มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ’ ได้อย่างเป็นรูปธรรม
“ทั้งนี้ ทางSCG ได้พัฒนาระบบ3D Printing ตั้งแต่ปี2014 หรือเมื่อ 16ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการพัฒนาตามเทรนด์ ที่มองว่าทั่วโลกจะหันไปใช้โรบอท แทนคนมากขึ้นระบบ3D Printing จะตอบโจทย์แนวโน้มนี้ แต่เมื่อมีโจทย์เรื่องการฟื้นฟูปะการังขึ้นมา เราจึงคิดว่า 3D Printing จะตอบโจทย์ตรงนี้ได้ เพราะสามารถขึ้นรูปได้อิสระตามต้องการเพียงให้โปรแกรมในคอมพิวเตอร์กำหนด เครื่องก็จะทำงานตามนั้น เหลือแต่การออกแบบวัสดุ ซึ่งเราได้เชิญ หลายมหาวิทยาลัยมาเข้าร่วมโครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025 เพื่อออกแบบวัสดุการฟื้นฟูปะการัง นับเป็นการผนวกเทคโนโลยี 3D Printing ของ SCGกับ องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล
เฉลิมวุฒิ กล่าวอีกว่า จาก องค์ความรู้จากเทคโนโลยี 3D Printing ของ SCGซึ่งเราใช้วัสดุที่เป็นปูนคาร์บอนดต่ำ และเปลือกหอย มาเป็นฐานวัสดุเกาะตัวอ่อนของปะการัง ทำให้การทำงานฟื้นฟูมีความรวดเร็ว แม่นยำ มากขึ้น อีกทั้งไม่ก่อให้เกิดมลภาวะในระยะยาว และการนำเทคโนโลยี 3D Printing มาร่วมออกแบบ ทำให้เราสามารถปรับได้หลากหลายมิติ รวมถึงรูปแบบให้เหมาะสมกับสภาพระบบนิเวศในแต่ละพื้นที่ เช่น ความลึก ความแรงและทิศทางของกระแสน้ำ การจมตัวของชิ้นงาน อุณหภูมิ ซึ่งสามารถต่อยอดพัฒนากับเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง การติดตามวัดผลได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อคืนความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลได้อย่างยั่งยืน

“สิ่งที่ทำให้โครงการนี้แตกต่าง ไปจากที่ผ่านๆมา คือการมองไปข้างหน้าอย่างมีกลยุทธ์ ทช. ไม่ได้มองแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่กำลังสร้างระบบการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะลที่ปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพระบบนิเวศทางทะเลซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรากำลังสู้กับการปรับตัวของธรรมชาติและการเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางทะเลอย่างต่อเนื่อง โดยหากเราไม่เร่งดำเนินการตอนนี้ อนาคตเราอาจไม่ได้เห็นความสวยงามของแนวปะการังไทย ที่จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบนิเวศทางทะลของ”เฉลิมวุฒิ กล่าว
แผนนำร่องจัดวางวัสดุฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง และการขยายผลตามแผนงานอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของไทย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เผยโครงการนำร่องในการจัดวางวัสดุฐานลงเกาะ “Whirling Wave Pagoda หรือ เจดีย์เกลียวคลื่น” พร้อมแผนงานอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของไทย ด้วยการจัดวางฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการังอย่างเป็นระบบ โดยแผนการดำเนินงานระยะสั้น ในช่วงต้นปี 2569 ตั้งเป้าการจัดวางต้นแบบวัสดุฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง ใน 7 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ 14 ไร่ พร้อมร่วมมือกับนักวิชาการจาก ทช. ในการศึกษาวิจัย ติดตาม
และประเมินผลประสิทธิภาพของการลงเกาะ และการเจริญเติบโตของตัวอ่อนปะการัง ความหลากหลายของจำนวนและชนิดของปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลต่อไป โดยหากผลการศึกษาประเมินผลเป็นไปตามเป้าหมาย จะมีการขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ พร้อมสร้างเครือข่ายท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เชื่อมโยงกับพื้นที่และแผนงานการอนุรักษ์ฟื้นฟูฯ สำหรับแผนระยะยาวนั้น จะนำเสนอตัวอย่างผลงานและผลการดำเนินงาน สำหรับเป็นแนวทางไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน เพื่อสร้างองค์ความรู้และต่อยอดจากแผนงานของไทย ในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลต่อไปได้

วัสดุฐานเกาะที่ทำจากเทคโนโลยี 3D Printing ของ SCG ที่ สถาบันการศึกษาออกแบบ จะถูกนำมาลงทะเล ทั้งหมด อุกกฤต รองอธิบดีทข. บอกว่า แม้การตัดสินการออกแบบ วัสดุฐานเกาะ “Whirling Wave Pagoda หรือ เจดีย์เกลียวคลื่น” ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นผู้รางวัลชนะเลิศ แต่ก็ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมดว่าจะมีผลต่อการยึดเกาของะตัวอ่อนและการฟื้นฟูปะการังได้มากน้อยแค่ไหน เพราะการตัดสินเบื้องต้นได้พิจารณาจากความเป็นไปได้ของรูปลักษณ์ภายนอกวัสดุที่ออกแบบเท่านั้น ผลจากการใช้งานจริงต้องมาดูกันอีกที
“เราจะนำวัสดุที่แต่ละสถาบันแบบมาทดสอบ ทั้งหมด มาลงทะเลแล้ว มาดูผลกันว่าอันไหน จะมีทำให้ปะการังฟื้นตัวได้ดี ส่วน Whirling Wave Pagoda ที่ชนะ เป็นการพิจารณาจากลักษณะรูปลักษณ์ที่ออกแบบว่าน่าจะทำให้ปะการังเกาะตัวได้ดี และยังมีช่องหลืบต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สัตว์น้ำขนาดเล็กชอบ ในการซ่อนตัวหลบภัยต่างๆได้ เพราะเป็นที่รู้กันว่าปะการังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำขนาดเล็ก แต่ผลจริงๆ จะเป็นอย่างไร คงต้องติดตาม โดยจะมีทีมศึกษาวิจัยทำงาน “รองอธิบดีทช.กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ONNEX by SCG บรรลุข้อตกลง ร่วมกับ Sigenergy Technology พัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) ในภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรม ขนาด 50MWh
ONNEX by SCG บรรลุข้อตกลง Framework Agreement สำหรับการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน (BESS – Battery Energy Storage System) กับ Sigenergy บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากประเทศจีน
ESG Symposium 2025 ผนึกทุกภาคส่วน เร่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน – ยกระดับ SMEs – รับมือโลกรวน ขับเคลื่อนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ “แข่งขันได้ เข้าถึงง่าย และขับเคลื่อนได้จริง”
ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ สังคม และภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรง ESG Symposium 2025 จัดขึ้นเพื่อเป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือของภาครัฐ
เอสซีจีจัดแสดงนิทรรศการภายใต้แนวคิด “Green Breakthrough – เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน”
เอสซีจีจัดแสดงนิทรรศการภายใต้แนวคิด “Green Breakthrough – เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน” เพื่อนำเสนอนวัตกรรมและแนวทางสู่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ SCG 3D Printing ร่วมต่อยอดไอเดีย โครงการ ARTIFICIAL REEFS HACKATHON 2025
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ SCG 3D Printing โชว์ผลงาน “ฐานลงเกาะตัวอ่อนปะการัง Whirling Wave Pagoda หรือเจดีย์เกลียวคลื่น
กรมทะเล ขับเคลื่อนภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย (TMA) ตั้งเป้าฟื้นฟูป่าชายเลน 5 แสนไร่ ภายในปี 2573
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดโครงการขับเคลื่อนภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย หรือ Thailand Mangrove Alliance (TMA) ประจำปี พ.ศ.2568


