ปักหมุดเที่ยวร้อยเอ็ด 4 แลนด์มาร์ก

ร้อยเอ็ด เป็นจังหวัดที่เป็นดินแดนใจกลางอีสาน มีเสน่ห์ทางวัฒนธรรม วัดวาอารามอันวิจิตรตระการตา และแฝงวิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวอีสานไว้ได้อย่างลงตัว    นอกจากนั้น จังหวัดนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจเรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กที่ควรค่าแก่การมาเยือนสักครั้งการเดินทางทริปนี้ จึงไม่พลาดที่จะไปเยือน 4 แลนด์มาร์กของร้อยเอ็ด

 เริ่มต้นกันที่ “องค์พญานาคราช” แลนด์มาร์กเด่น ณ อ่างเก็บน้ำธวัชชัย ต.มะอึ อ.ธวัชบุรี องค์พญานาคสีทองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน สูงถึง 22 เมตร และทอดลำตัวยาวจรดหางกว่า 111 เมตร หันหน้าออกสู่อ่างเก็บน้ำราวกับกำลังเลื้อยอยู่กลางสายน้ำอย่างสง่างาม ด้านหน้าองค์พญานาคยังประดิษฐานพ่อปู่ศรีสุทโธ และแม่ย่าศรีปทุมมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวอีสานให้ความเคารพ สะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคในฐานะผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนาและสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ บรรยากาศโดยรอบอ่างเก็บน้ำธวัชชัย ซึ่งเดิมชื่อหนองจอกเจี้ย ก็ถูกพัฒนาให้เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ เหมาะแก่การนั่งเล่น รับลม หรือออกกำลังกายไปพร้อม ๆ กับการดื่มด่ำความงดงามขององค์พญานาคราช

ออกจากจุดแรก เดินทางต่อมาที่ “หอโหวด 101” แลนด์มาร์กสุดอลังการของร้อยเอ็ด ตั้งอยู่กลางเมืองในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ หน้าบึงพลาญชัย หอแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน “โหวด” และถือเป็นหนึ่งในสามโครงการสำคัญของการพัฒนาสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ร้อยเอ็ด มีเนื้อที่กว่า 124 ไร่ และมีความสูงถึง 101เมตร ตัวอาคารสูง 35 ชั้นสีทองโดดเด่นสง่ามองเห็นได้ตั้งแต่ระยะไกล ทำให้ทุกสายตาต้องหยุดมอง

เมื่อเข้ามาด้านใน หอโหวดแบ่งพื้นที่ใช้งานออกเป็นหลายโซน ทั้งสำนักงาน ร้านอาหาร และร้านของที่ระลึก แต่โซนที่เราจะขึ้นไปชมคือ ส่วนสำหรับนักท่องเที่ยว เริ่มที่ ชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่นิทรรศการเกี่ยวกับประวัติของหอโหวดและเรื่องราวของเครื่องดนตรีพื้นบ้าน “โหวด” ซึ่งปรากฏในวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานเรื่องพยาคันคาก ถ่ายทอดความเชื่อของชาวนา มีบทบาทต่อวิถีชีวิตและการทำมาหากินของชาวอีสาน รวมถึงประเพณีและพิธีกรรมสำคัญต่าง ๆ

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าที่ว่า โหวดเคยถูกใช้เป็นเครื่องมือแกว่งให้เกิดเสียงดังเพื่อส่งสัญญาณถึงพญาแถน ขอให้ฝนหยุดตกเมื่อได้รับน้ำเพียงพอในฤดูกาลเก็บเกี่ยว ก่อนจะพัฒนากลายเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านประเภทเครื่องเป่าไม่มีลิ้น ทำจากไม้ไผ่เฮี้ย ตามคำผญาสาเกตนครที่ว่า“…เสียงวอยวอย ดังก้อง บ่เป็นรอง ทางม่วน จัดเป็นวง ครบถ้วน พิณแคน เล่นซอใส่ โหวดพิณแคน ตั้งก้อ โปงลางต่อ ซอสลับ จัดเป็นเพลง คณานับ ให้ม่วนดี คนลือย่อง…” ความสนุกของชั้นนี้ยังไม่หมด เพราะมี มุมถ่ายภาพจิตรกรรม 3 มิติของหอโหวด ให้นักท่องเที่ยวได้เก็บภาพสวย ๆ เป็นความทรงจำ เหมือนเรากำลังเข้าไปอยู่ในโลกของโหวดจริง ๆ ทั้งสนุกและได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของอีสานในเวลาเดียวกัน

เมื่อขึ้นมาถึง ชั้น 29 เราจะพบกับมุมอุโมงค์ดอกไม้น่ารัก ๆ ที่ตกแต่งไว้อย่างสดใส ให้เราได้เดินผ่านและถ่ายภาพเพลิน ๆ ก่อนจะเดินต่อไปยัง ชั้น 33 จุดชมวิว 360 องศา ที่นี่นอกจากจะได้ชมทัศนียภาพรอบเมืองร้อยเอ็ดแบบเต็มตาแล้ว ยังมีกล้องส่องทางไกลให้เราได้ซูมมองสถานที่สำคัญต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด พร้อมจอแสดงข้อมูลความเป็นมาของแต่ละสถานที่ ช่วยให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวและประวัติศาสตร์ไปพร้อมกับการชมวิว

จากนั้นเดินต่อไปยัง ชั้น 34 จุดชมวิว 360 องศาอีกจุดหนึ่งที่มีความพิเศษคือ Sky Walk พื้นกระจกใสระยะทางสั้น ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังลอยอยู่เหนือเมือง การยืนชมวิวจากพื้นกระจกสร้างความตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจอย่างไม่น่าเชื่อ ชั้นนี้ยังเป็นจุดปล่อยตัวสำหรับกิจกรรมโหนสลิง (Zipline)  ขึ้นมาถึง ชั้น 35 ชั้นสูงสุดของหอโหวด ที่นี่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ และ พระพุทธมิ่งเมืองมงคล พระพุทธรูปสำคัญประจำจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2367 โดยพระยาขัติยะวงษา (สีลัง) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ 2 พร้อมด้วยราชครู วัดกลางมิ่งเมือง กรมการเมือง และพุทธศาสนิกชนร่วมใจกันสร้างขึ้นจากความเคารพศรัทธาในพุทธศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่เมืองร้อยเอ็ด

ถึงเวลาที่เราจะได้ลองเล่น Zipline กิจกรรมใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการไม่นาน โดยเจ้าหน้าที่คอยอธิบายขั้นตอนและวิธีเตรียมตัวอย่างละเอียด พร้อมช่วยสวมชุดความปลอดภัยให้เรียบร้อย เดินมาถึงจุดปล่อยตัวที่ชั้น 34 เมื่อได้เวลาปล่อยตัว ความตื่นเต้นเริ่มเข้าครอบงำ สายตาที่แน่วแน่และความตั้งใจอันเต็มเปี่ยมจากบ้าน อยู่ ๆ ใจก็เต้นแรง มือเย็นเฉียบ ขาสั่น เพราะความสูงจากชั้น 34 ทำให้รู้สึกหวาดเสียวอย่างมาก เสียงนับ 3 2 1 ดังขึ้น สลิงก็พาเราล่องลอยอยู่กลางอากาศ พร้อมกับเสียงกรี๊ด สายตาที่ได้เห็นวิวเมืองร้อยเอ็ด ผืนน้ำของบึงพลาญชัย และท้องฟ้าใส ความงดงามเหล่านี้ช่วยประโลมความกลัวให้กลายเป็นความประทับใจในเวลาอันสั้น ก่อนจะมาถึงจุดหมายด้านล่างอย่างปลอดภัย

สำหรับผู้สนใจ เล่น Zipline ต้องมีอายุ 11–101 ปี โดยผู้ที่อายุต่ำกว่า 15 ปีต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง มี ส่วนสูงขั้นต่ำ 140 ซม. และน้ำหนัก 40–101 กก. ต้องมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด ความดันสูง โรคกระดูกและข้อ โรคประสาท โรคลมชัก โรคหอบหืด โรคสมองเสื่อม หรือกำลังตั้งครรภ์ ห้ามเล่นขณะมึนเมา ฯลฯ อัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 101 บาท สำหรับการเล่นปกติ, 201 บาท เล่นพร้อมภาพถ่ายและวิดีโอ, และ 301 บาท เล่นเดี่ยวพร้อมภาพถ่ายและวิดีโอ มีรอบเช้าและบ่ายหลายรอบตามเวลาที่กำหนด ความสนุก ตื่นเต้น และความประทับใจจากการล่องลอยกลางอากาศ ทำให้ Zipline ที่ หอโหวด เป็นกิจกรรมที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนร้อยเอ็ด

แวะมาที่ “วัดบูรพาภิราม” ตั้งอยู่บนถนนผดุงพานิช ใจกลางเมือง ที่นี่โดดเด่นด้วย พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อใหญ่ พระพุทธรูปปางประทานพรที่สูงที่สุดในประเทศไทย องค์พระยืนสง่างาม มองเห็นได้แต่ไกล กลายเป็นสัญลักษณ์และเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวร้อยเอ็ด สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516 ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ความสูงวัดจากพระบาทถึงยอดเกศถึง 59.20 เมตร และรวมทั้งหมด 67.85 เมตร ที่ฐานขององค์พระมีห้องสำหรับทำกิจกรรมทางศาสนาและห้องพิพิธภัณฑ์หลายห้อง ให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และความศรัทธาที่แฝงอยู่ในวัดแห่งนี้

เดินทางมาถึงแลนด์มาร์กสุดท้ายที่ “วัดประชาคมวนาราม หรือวัดป่ากุง” ในอ.ศรีสมเด็จ ที่นี่มี เจดีย์หินทรายขนาดใหญ่ ที่สวยงามและอลังการที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ สร้างจากหินทรายธรรมชาติและจำลองแบบมาจาก บุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย ทั้งใหญ่และวิจิตรงดงามทุกมุมของเจดีย์เต็มไปด้วยภาพแกะสลักเรื่องราว พุทธประวัติและพระเวสสันดรชาดก ซึ่งสอดคล้องกับงานประเพณีบุญผะเหวดของร้อยเอ็ด ภายในเจดีย์ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุจากอินเดีย ให้กราบไหว้ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคล ที่นี่ยังมีเรื่องราวแรงศรัทธาที่น่าประทับใจ เพราะเจดีย์นี้สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์ ครบรอบ 90 ปี พรรษา 60 ของหลวงปู่ศรี มหาวีโร ด้วยความทุ่มเทของศิษยานุศิษย์ ทำงานกันทั้งกลางวันกลางคืนจนสำเร็จภายใน 2 ปียอดเจดีย์ทองคำ วัดป่ากุง น้ำหนัก 101 บาท

สำหรับองค์เจดีย์มีมีลักษณะ รูปทรงแปดเหลี่ยม กว้าง 101 เมตร ยาว 101 เมตร สูง 109 เมตร แบ่งเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นมีเรื่องราวไม่เหมือนกัน ชั้นแรกเล่าเรื่องพระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ชั้น 2-3 เป็นพุทธประวัติ ชั้น 4 เป็นชัยมงคลคาถา ชั้น 5 แสดงสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ชั้น 6 เป็นเจดีย์ราย 8 องค์ล้อมรอบ เจดีย์ประธาน และชั้นบนสุดคือ ยอดเจดีย์ทองคำ น้ำหนัก 101 บาท มองขึ้นไปแล้วรู้สึกทั้งตื่นตาและศรัทธาในความตั้งใจของผู้สร้าง ได้เดินชมเจดีย์ดื่มดำกับความงดงามของศิลปะ ความศรัทธา และพลังใจของผู้คน บอกได้เลยว่า…ร้อยเอ็ด แม้จะไม่ใช่เมืองหลักท่องเที่ยว แต่มีเสน่ห์มีแลนด์มาร์กสวย สะท้อนให้เห็นความศรัทธา ความเชื่อ และยังมีกิจกรรมสนุก ๆ ที่รอให้ทุกคนได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง