"กฤษฎีกา" ชี้ชัดสมัย "นายกฯ เศรษฐา" ตั้ง "กิตติรัตน์" เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ถือมีส่วนไปเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบาย เข้าข่ายเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง "สถิตย์" ขอตั้งหลักรอมติทางการ จับตา "พท." ส่งชื่อใครแทน "นายกสมาคมทนายความฯ" โวยตีความลักลั่น ยก "เศรษฐพุฒิ" เทียบสมัย "บิ๊กตู่" ก็เคยแต่งตั้ง
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 สำนักข่าวอิศรา ได้นำเสนอรายละเอียดบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย กรณีการเป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ที่ประชุมร่วมคณะกรรมการกฤษฎีกา 3 คณะ มีมติด้วยเสียงข้างมากเห็นว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ผู้ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหา ที่มีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานคัดเลือกให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือประธานบอร์ดแบงก์ชาตินั้น ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เนื่องจากตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีที่นายกิตติรัตน์ได้รับการแต่งตั้งในสมัยรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เนื่องจากมีส่วนไปเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายดังกล่าว
สำนักข่าวอิศราระบุว่า เสียงส่วนใหญ่ที่ตีความว่าตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาจากคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 1 ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ซึ่งเป็นคณะหลัก สอดรับกับคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 13 ที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานกรรมการฯ อภิปรายเห็นด้วย ส่วนเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยคือ นายอัชพร จารุจินดา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ในฐานะกรรมการคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 2 และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เนื่องจากเห็นว่า ตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
สำหรับรายละเอียดบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย กรณีการเป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ช่วงแรกเป็นหนังสือที่กระทรวงการคลังมีถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ลงวันที่ 8 ธ.ค.2567 โดยสรุประบุว่า ประธานกรรมการคัดเลือกฯ มีหนังสือถึง รมว.การคลัง เสนอชื่อนาย ก. ให้เป็นบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไปนั้น
ทางกระทรวงการคลังจึงมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" มีความหมายครอบคลุมตำแหน่งใดที่มีความเกี่ยวข้องทางการเมือง เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นาย ก. เคยดำรงตำแหน่ง (1) ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 234/2566 เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 14 ก.ย.2566 และ (2) ประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อยตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 316/2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ลงวันที่ 6 พ.ย.2566 และได้พ้นจากการดำรงตำแหน่งทั้งสองตำแหน่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 ส.ค.2567
คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมคณะที่ 1 คณะที่ 2 และคณะที่ 13) ได้พิจารณาข้อหารือประกอบกับข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแล้ว เห็นว่า โดยที่มาตรา 18 (4) แห่ง พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2485 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 บัญญัติลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยว่า ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวจะต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ประกอบกับมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน บัญญัติให้นำบทบัญญัติมาตรา 18 มาใช้บังคับแก่ประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยโดยอนุโลม ด้วยเหตุนี้ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย จึงต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังกล่าวด้วย
ชี้ชัด 'กิตติรัตน์' ขาดคุณสมบัติ
ส่วนการพิจารณาว่าผู้ดำรงตำแหน่งใดจะถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมคณะที่ 1, คณะที่ 2 และคณะที่ 13) พิจารณาแล้วเห็นว่า ในการพิจารณาว่าผู้ดำรงตำแหน่งใดจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ ต้องพิจารณาจากองค์ประกอบสองประการ ดังนี้
ประการที่หนึ่ง ที่มาของการเข้าสู่ตำแหน่ง การแต่งตั้ง และการพ้นจากตำแหน่งโดยที่วิธีการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ประการที่สอง หน้าที่และอำนาจรวมทั้งบทบาทของผู้ดำรงตำแหน่ง จำเป็นที่จะต้องพิจารณาจากกฎหมายและคำสั่งที่กำหนดหน้าที่และอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว
นอกจากการพิจารณาคำสั่งหรือระเบียบมอบหมายหน้าที่แล้ว อาจพิจารณาได้จากพฤติการณ์อันเป็นข้อเท็จจริง ในการมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ เช่น การแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนรัฐบาลในการเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการซึ่งมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน เพื่ออำนวยการและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินให้นโยบายที่สำคัญของรัฐบาลสัมฤทธิผลขึ้นอย่างแท้จริง ทั้งนี้ แม้ว่าคำสั่งที่แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวมิได้กำหนดหน้าที่และอำนาจถึงขนาดที่เป็นการอำนวยการบริหารประเทศหรือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินก็ตาม
กรณีตามข้อหารือนี้ จึงสามารถพิจารณาฐานะการดำรงตำแหน่งประประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อยตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
กรมีการแต่งตั้งนาย ก. ให้เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี พิจารณาได้ว่า (1) ที่มาของการเข้าสู่ตำแหน่ง การแต่งตั้ง และการพ้นจากตำแหน่ง มีเหตุผลหรือความสัมพันธ์ทางการเมืองหรือไม่ ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำชี้แจงของผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทยว่า นาย ก. เคยได้รับการแต่งตั้งและปฏิบัติหน้าที่เป็นรองประธานกรรมการในคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรคการเมือง พ. และภายหลังจากที่ลาออกจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าว นาย ก. ยังคงปฏิบัติภารกิจที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง พ. และต่อมา นาย ก. ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 234/2566 โดยยังคงมีการปฏิบัติภารกิจและลงพื้นที่โดยสวมเสื้อที่มีสัญลักษณ์ของพรรคการเมือง พ. อยู่ นอกจากนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวก็พ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกับนายกรัฐมนตรีผู้แต่งตั้ง จากข้อเท็จจริงข้างต้นเห็นได้ว่า การเข้าสู่ตำแหน่ง การแต่งตั้ง และการพ้นจากตำแหน่งของนาย ก. มีลักษณะทางการเมือง
(2) สำหรับการพิจารณาหน้าที่และอำนาจรวมทั้งบทบาทนั้น ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 234/2566ฯ กำหนดให้ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่างๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ทั้งนี้ หากประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่เพียงเฉพาะแต่การให้คำปรึกษาเสนอความเห็น หรือข้อเสนอแนะตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเท่านั้น โดยหากนายกรัฐมนตรีไม่มอบหมายดังกล่าว ก็ไม่มีหน้าที่อื่นใดอีก กรณีดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นการอำนวยการบริหารประเทศหรือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน
อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี นาย ก. มิได้มีหน้าที่และอำนาจเฉพาะแต่การให้คำปรึกษาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายแต่เพียงอย่างเดียว แต่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการในลักษณะควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามนโยบายสำคัญด้วย ดังเช่นการที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายและแต่งตั้งให้นาย ก. ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน กรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 316/2566 ซึ่งนโยบายการแก้ไขหนี้สินของประชาชนเป็นนโยบายที่พรรคการเมือง พ. ใช้ในการหาเสียง ตลอดจนเป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นแถลงต่อรัฐสภาด้วย
ดังนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย จึงถือได้ว่าเป็น "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" เพราะได้รับการแต่งตั้งมาโดยเหตุผลและความสัมพันธ์ทางการเมือง และมีหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามนโยบายสำคัญของพรรคการเมืองและของรัฐบาล ด้วยเหตุดังกล่าว นาย ก. จึงเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย
ดังนั้น คณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อยจึงเป็นคณะกรรมการในการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่มีประเด็นเรื่องผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ และมิใช่คณะกรรมการที่มีตำแหน่งทางการเมือง ดังเช่นที่นายกรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจตามมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ แต่งตั้งคณะกรรมการในการบริหารราชการแผ่นดินอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
จับตา พท.ส่งคนแทนโต้ง
ขณะที่ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดเลือกประธานคณะกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ธปท. กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการกฤษฎีกา 3 คณะ มีความเห็นตรงกัน ระบุนายกิตติรัตน์ขาดคุณสมบัติในการถูกเสนอชื่อเป็นประธานบอร์ด ธปท.คนใหม่ว่า ต้องรอความชัดเจนของข่าวดังกล่าวอย่างเป็นทางการก่อนว่าเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหนถึงจะให้ความเห็นได้ ขณะนี้คงยังพูดอะไรไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีชื่อนายกุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดกระทรวงพลังงานและอดีตอธิบดีกรมศุลกากร กับ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกบมากับชื่อนายกิตติรัตน์ ต่อมาพบว่านายกุลิศก็เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี จึงเหลือแค่ชื่อของ ศ.ดร.สุรพล ซึ่งเป็นที่รู้กันทางการเมืองว่าฝ่ายเศรษฐกิจในพรรคเพื่อไทยคงไม่ยอมแน่ และจะต้องส่งคนมาแทน
ด้านนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ออกเเถลงการณ์โดยสรุปไม่เห็นพ้องด้วยกับการตีความดังกล่าว ของนายกิตติรัตน์ เพราะหากตีความเช่นนั้นจะเกิดความลักลั่น เนื่องจากนายเศรษฐพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน ก็เคยได้รับการแต่งตั้งจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
"หากนายกิตติรัตน์ขาดคุณสมบัติเพราะดำรงตำแหน่งนี้ เหตุใดนายเศรษฐพุฒิซึ่งดำรงตำแหน่งเดียวกันจึงไม่ขาดคุณสมบัติ เลิกเล่นการเมืองแบบสองมาตรฐาน และว่ากันไปตามหลักเกณฑ์ข้อกฎหมายที่ชัดเจนอยู่แล้วโดยไม่ต้องตีความน่าจะดีกว่า" นายนรินท์พงศ์ระบุ
วันเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธตอบคำถามกรณี ธปท.ส่งหนังสือเสนอความเห็นโครงการแจกเงินหมื่นเฟส 3 เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ จึงควรดำเนินการให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่ และไม่เป็นภาระการคลัง ซึ่งนายกฯ ตอบเพียงว่า "เฟส 2 จะมาแล้ว”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69


