
สถานทูตจีนเผยแพร่ภาพกลับบ้านของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับ มีการปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างครบถ้วน แค่ลักลอบเข้าเมือง ไม่มีการกระทำผิดอื่นๆ รุนแรง ขณะที่นายกฯ อิ๊งค์รับรายงานจากคณะผู้แทนไทยส่งชาวอุยกูร์ 40 คน “เลขาธิการ สมช.” ประกบส่งถึงบ้าน อีก 15-30 วันกลับไปดูอีกครั้ง
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเช้าเวลา 08.30 น. นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานจากคณะผู้แทนไทย ประกอบด้วย สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดย พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง ที่เดินทางไปพร้อมกัน เพื่อส่งชาวอุยกูร์ ที่อยู่ห่างไกลกลับไปพบกับครอบครัวในช่วง 2 วันที่ผ่านมา โดยจะติดตามอย่างต่อเนื่อง หลังรัฐบาลจีนให้ความมั่นใจอีกครั้งว่า พวกเขาคือพลเมืองจีนที่จะต้องดูแลเป็นอย่างดี โดยเลขาธิการ สมช.มั่นใจว่าหลังจากเดินทางส่งชาวอุยกูร์ถึงบ้านแล้ว ได้วางกรอบไว้ว่าประมาณ 15 วัน-1 เดือน คณะผู้แทนระดับสูงของไทยจะบินไปติดตามพันธสัญญาที่ทั้งสองประเทศให้ไว้ต่อกันอย่างต่อเนื่อง
คณะชุดนี้รายงานว่า ได้อยู่สังเกตการณ์และตรวจสอบชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับสู่แผ่นดินแม่ในรอบ 11 ปี ที่เรียกว่า "11 Year Mission possible" โดยชาวอุยกูร์ 40 คนเดินทางถึงเมือง “คาซือ” หรือเมืองคัชการ์ มณฑลซินเจียง ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้กับบ้านเกิดของชาวอุยกูร์กลุ่มดังกล่าวมากที่สุด โดยหลังจากได้รับการตรวจสุขภาพ และได้ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่อยู่ใกล้เมือง “คาซือ” ในระยะไม่เกิน 140 กิโลเมตร และกลุ่มที่อยู่ไกลจากเมืองคาซือกว่า 1,000 กิโลเมตร เนื่องจากมณฑลซินเจียงมีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 3 เท่า รัฐบาลจีนจึงได้จัดยานพาหนะเพื่อส่งกลับไปตามบ้านเกิด ที่กระจายในหลายเมืองของมณฑลดังกล่าว
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า โดยเวลา 14.00 น. วันที่ 28 ก.พ. เลขาธิการ สมช. พร้อมคณะ ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ได้เข้าไปสังเกตการณ์การเดินทางส่งกลับในจุดที่ห่างจากเมืองคาซือ อำเภอเจียซือ ห่างจากเมืองคาซือประมาณ 140 กิโลเมตร โดยมีชาวอุยกูร์ที่ผ่านการตรวจสุขภาพเรียบร้อยแล้วได้เดินทางถึงบ้านเกิดด้วยความปลอดภัย ได้กลับไปอยู่กับครอบครัว โดยพวกเขาเหล่านั้นแสดงความดีใจที่ได้กลับมาพบกับครอบครัว และบางคนเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับหลานๆ สมาชิกใหม่ของครอบครัว ซึ่งบางคนสามารถพูดภาษาไทยได้บ้าง ก็ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ดูแลตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
ต่อมาเวลา 15.00 น. ของวันที่ 28 ก.พ. คณะผู้แทนไทยได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่ยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ในโรงพยาบาลประจำอำเภอเจียซือ โดยพวกเขาได้ฝากความระลึกถึงและขอบคุณผู้แทนจากสำนักจุฬาราชมนตรี ที่เข้ามาเยี่ยม และร่วมประกอบพิธีทางศาสนา รวมทั้งเลี้ยงอาหารฮาลาลในระหว่างที่อยู่ในห้องกักของ สตม.
นายจิรายุเปิดเผยอีกว่า เลขาธิการ สมช.ได้ระบุว่าเท่าที่เดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเองพร้อม รอง ผบ.ตร.และคณะ รู้สึกได้ถึงความผูกพันระหว่างชาวอุยกูร์กับเจ้าหน้าที่ของ สตม. ทำให้การส่งกลับเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยยืนยันในส่วนของการพิจารณาการส่งกลับในเรื่องนี้นั้น ประเทศไทยได้พิจารณาในทุกมิติ ประเทศไทยได้พยายามเจรจากับรัฐบาลจีนมาตลอดระยะเวลา 10 ปี เพื่อกำหนดเงื่อนไขให้จีนรับรองความปลอดภัยของการส่งกลับชาวอุยกูร์กลุ่มดังกล่าว และการต้องอนุญาตให้คณะผู้แทนไทยสามารถเดินทางไปตรวจเยี่ยมภายหลังจากการส่งกลับได้แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับ จนมาในยุครัฐบาลปัจจุบันที่รัฐบาลจีนได้มีหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการ และการพบปะหารือระดับผู้นำประเทศในห้วงการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการในโอกาสการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี ของนายกรัฐมนตรี ทางการจีนก็ยืนยันในหลักการรับรองความปลอดภัยด้วยอีกครั้ง นอกจากนี้ เมื่อเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้จัดการแสดงวัฒนธรรมในย่านเยาวราช กรุงเทพมหานคร โดยหนึ่งในการแสดงนั้นมีการแสดงของชาวอุยกูร์ สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับของรัฐบาลจีนต่ออัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์ด้วย
สมช.ยังรายงานด้วยว่า ก่อนการส่งกลับชาวอุยกูร์ จีนได้ส่งคลิปญาติพี่น้องของผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ที่แสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในบ้านเกิดของตนเองในปัจจุบัน ซึ่งต่างจากเมื่อ 11 ปีที่แล้ว จนทำให้ชาวอุยกูร์ต้องการจะเดินทางกลับ เนื่องจากติดอยู่ในห้องกักมาเกือบ 10 ปี และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้นำเนื้อหาในหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการจากทางการจีน มาแปลเป็นภาษาอุยกูร์ เพื่อให้ชาวอุยกูร์ในห้องกักดู จนนำมาสู่การเดินทางกลับโดยสมัครใจในท้ายที่สุด
โฆษกรัฐบาลเผยว่า สำหรับการเดินทางเยือนจีนเพื่อสังเกตการณ์และตรวจเยี่ยมการส่งกลับชาวอุยกูร์ครั้งแรกของคณะผู้แทนไทย โดยคณะจะเดินทางกลับในวันอาทิตย์ที่ 2 มี.ค.นี้ พร้อมสรุปรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบภายใน 7 วัน โดยจะมีการติดตามตรวจสอบตามว่าชาวอุยกูร์ 40 คนที่กลับแผ่นดินแม่ จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีสิทธิเสรีภาพต่อไป ตามเจตจำนงของทั้งสองประเทศ ส่วนการเดินทางครั้งที่ 2 เมื่อคณะดังกล่าวเดินทางกลับประเทศไทยและมีการสรุปรายงานเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นจะกำหนดการเดินทางไปตรวจเยี่ยมชาวอุยกูร์อีกครั้งในระยะเวลาประมาณ 15-30 วัน ซึ่งรัฐบาลไทยยืนยันถึงความโปร่งใส และจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสื่อมวลชนเดินทางร่วมในการตรวจเยี่ยมดังกล่าวด้วย
ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่ภาพความประทับใจจากการกลับบ้านของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับ โดยระบุว่า ผู้ที่ถูกส่งตัวกลับได้กลับถึงบ้านแล้ว และมีการปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างครบถ้วน
ทางการจีนยืนยันว่า การกระทำผิดของชาวจีนกลุ่มนี้เป็นเพียงการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ไม่มีการกระทำผิดอื่นๆ รุนแรง และได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายจนสามารถส่งตัวกลับบ้านได้ โดยเน้นการปกป้องสิทธิของบุคคลเหล่านี้อย่างดีที่สุด
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนยังได้แสดงความยินดีที่รัฐบาลไทยให้ความร่วมมือ และยินดีต้อนรับเจ้าหน้าที่ไทยที่จะไปสังเกตการณ์การกลับสู่สังคมของผู้ที่ถูกส่งกลับในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสให้ชาวไทยที่สนใจสามารถเยี่ยมชมและสัมผัสการพัฒนาในซินเจียงเพื่อเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงและความสุขของประชาชนในพื้นที่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ขำไม่ออก! อดีต รมว.กต. โวรัฐบาลอิ๊งค์เจรจาสหรัฐ-จีน กดดันกัมพูชาเคารพข้อตกลงสันติภาพได้สำเร็จ
"มาริษ" แนะดึงจีนร่วมกดดันกัมพูชาให้เคารพข้อตกลง-รักษาสมดุลมหาอำนาจ-สื่อสารสหรัฐฯ โดยตรงไม่ผ่านคนกลาง
การเสด็จฯ เยือนจีนครั้งเดียว กับ 30 สถานการณ์สะท้านโลก
นายอัษฎางค์ ยมนาค หรือ เอ็ดดี้ นักวิชาการอิสระ โพสต์บทความผ่านเฟซบุ๊กว่า การเสด็จเยือนครั้งเดียว กับ 30 สถานการณ์สะท้านโลก (ถ้าไม่ได้อ่านแล้วจะเสียใจ ที่อดภาคภูมิใจไปพร้อมกัน )
กระแสชื่นชม สมเด็จพระราชินี จากชาวจีนสะท้อนอะไร
ความคิดเห็นของชาวจีนจำนวนมากพูดตรง ๆ เลยว่า “งดงาม สง่างาม มีความสูงศักดิ์” และ “ดูจริงใจ ไม่ใช่การแสดง”
ในหลวง ทอดพระเนตรนิทรรศการ ฉลอง 50 ปี สัมพันธ์การทูตไทย-จีน พระราชวังโบราณกรุงปักกิ่ง
ในหลวง พระราชินี เสด็จฯพิพิธภัณฑ์พระราชวังโบราณ กรุงปักกิ่ง ทอดพระเนตรนิทรรศการ “หมื่นมิ่งมงคลไชย สายสัมพันธ์นิรันดร“ ฉลอง 50 ปี ไทย-จีน
'นักวิชาการ' ชี้นายกฯป้องอธิปไตย ไม่ทำไทยเสี่ยง 'รัฐบริวาร'
รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ไทยไม่ใช่ “รัฐบริวาร”!


