ทภ.1 เดือด! ประณามผู้นำกัมพูชาเลิกหลบหลังผู้หญิง แฉเขมรการละครจัดฉากฟ้องโลก จี้แสดงความจริงใจ จ่อส่ง คฝ.อีก 5 กองร้อยเสริม ลั่นหากละเมิดจับดำเนินคดีได้ทันที “บิ๊กเล็ก” มอบอำนาจกองทัพตัดสินใจตามกฎใช้กำลังได้ ย้ำใต้เส้นแดง "หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว" เป็นสิทธิ์ของไทย จับกุมตาม กม.ไทยได้ พร้อมอุบแผนขอคืนพื้นที่ ด้านเขมรใช้ “ลูกหาบ” กล่อมอาเซียน หลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงไทยขึงลวดหนาม
ที่กองทัพภาคที่ 1 พล.ต.สุรวิชญ์ แดงจันทร์ โฆษกกองทัพภาคที่ 1 แถลงข่าวเหตุการณ์ชาวกัมพูชาบุกรื้อรั้วลวดหนามบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว และทำร้ายเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) จึงมีการใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางว่า เหตุการณ์แสดงให้ได้เห็นว่ากัมพูชามีความจริงใจหรือไม่ ที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงในการประชุมทวิภาคีระดับต่างๆ แต่เหตุการณ์บ้านหนองหญ้าแก้วและบ้านหนองจานที่ผ่านมา กลับใช้การยั่วยุ ระดมมวลชน เด็ก ผู้หญิง พระสงฆ์ ไม่ใช่เรื่องที่อารยประเทศปฏิบัติต่อกัน
"ขอประณามผู้นำประเทศกัมพูชา ที่ปล่อยให้เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่อธิปไตยของไทย โดยใช้เด็ก ผู้หญิง พระสงฆ์ยั่วยุ ต้องการสร้างภาพว่าฝ่ายไทยปฏิบัติการทำร้ายโดยไม่สนใจความรู้สึกหรือร่างกายของประชาชนตัวเอง ให้เข้ามารุกล้ำอธิปไตยไทย ขออย่ามายั่วยุอีก และเลิกยืนอยู่ข้างหลังผู้หญิงได้แล้ว ซึ่งมีการประกาศกติกาสากลอยู่แล้ว และขอฝากไปถึงพระสงฆ์กัมพูชา หากจะมาแสดงเช่นนี้ ขอให้กลับไปสึกเสียดีกว่า แล้วไปสมัครมาเป็นทหาร แล้วมาปฏิบัติต่อกัน ยืนยันว่าเราไม่หลงกล และรู้ว่าจะใช้วิธีนี้ เราจึงเตรียมกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชนไว้" พล.ต.สุรวิชญ์กล่าว และว่า ทั้งหมดนี้คือละคร กัมพูชาสร้างละครไม่จบไม่สิ้น อยากฝากถามถึงความจริงใจผู้นำกัมพูชา โดยเฉพาะการปฏิบัติตามข้อตกลง อย่าให้เป็นแค่กระดาษหรือคำเขียน แต่จะต้องนำมาสู่การปฏิบัติ
พล.ต.สุรวิชญ์ย้ำว่า การปฏิบัติของกองทัพภาคที่ 1 มีอารยะ มีขั้นตอน พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า ทหารกัมพูชานอกจากไม่ห้ามปรามประชาชนของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่ผสมโรง ช่วยรื้อรั้วลวดหนาม สิ่งที่เห็น คนกัมพูชาวัยฉกรรจ์ 100-200 คนใช้ไม้เป็นอาวุธและใช้หนังสติ๊กซึ่งรุนแรงกว่ากระสุนยางทำร้ายเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย เพราะฉะนั้นเราจะต้องรอบคอบและป้องกันตนเอง จึงเตรียมกำลังควบคุมฝูงชน 2 กองร้อย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหารพรานและเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายหญิงและอาสาสมัครรักษาดินแดน ในการตรึงกำลังผลักดันตามขั้นตอน และตามสมควรแก่เหตุ ซึ่งกัมพูชานำไปบิดเบือนว่าถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส จึงตั้งคำถามว่า แก๊สน้ำตาบาดเจ็บสาหัสได้อย่างไร จึงขอฝากไปถึงสื่อมวลชนฝั่งกัมพูชาขอให้ข้อมูลที่ถูกต้อง
พล.ต.สุรวิชญ์ยังกล่าวตำหนิคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว IOT ฝ่ายกัมพูชา ลงพื้นที่ช่วงค่ำหลังเหตุ ให้ปฏิบัติตามข้อตกลง และไม่มีสิทธิ์เดินมาบริเวณแนวรั้วลวดหนามซึ่งเป็นอธิปไตยของฝ่ายไทย โดยได้ให้กรมข่าวกองทัพภาคที่ 1 ทำหนังสือประท้วงให้ยึดถือหลักเกณฑ์และกติกาเพราะเมื่อคณะ IOT ถูกสร้างมาเป็นผู้สังเกตการณ์ โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะยกระดับความเข้มข้น โดยทางตำรวจภูธรภาค 2 ส่งกำลังควบคุมฝูงชนสมทบในพื้นที่ 5 กองร้อย รวมของเดิม 2 กองร้อย รวมเป็น 7 กองร้อย หากละเมิดอีก จับกุมได้ทันที พร้อมขนขึ้นรถผู้ต้องหาดำเนินคดีตามกฎหมายไทยที่กำหนดว่าเข้าข่ายใด
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้เป็นเรื่องของฝ่ายการทหารเป็นผู้ดำเนินการและชี้แจง เราต้องเคารพซึ่งกันและกัน พื้นที่ตรงนั้นเป็นเขตที่มีการประกาศกฎอัยการศึก ดังนั้นอำนาจการตัดสินใจจึงอยู่ที่ฝ่ายการทหาร ตนยังไม่ได้เข้าไปบริหารราชการแผ่นดินอย่างเป็นทางการ แต่ได้ให้คำมั่นสัญญากับผู้ที่รับผิดชอบด้านความมั่นคงว่า หากทางรัฐบาลนี้เข้าไปแล้วเรื่องของการดำเนินการด้านความมั่นคงจะรับฟังผู้ที่อยู่ชายแดนและผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง เช่น เรื่องของการเปิดด่านอย่าไปคาดเดา เพราะในขณะนี้ยังไม่มี
ส่วนกรณี ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา ได้เขียนจดหมายถึงประธานอาเซียนและผู้นำโลก นายอนุทินกล่าวว่า ผู้นำประเทศไหนก็ต้องรักษาประโยชน์ของประเทศนั้น เช่นเดียวกับผู้นำของประเทศไทย ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยเหนือประเทศอื่น และเหนือเหตุผลอื่นๆ ซึ่งประโยชน์ของประเทศไทย ก็คือความผาสุก ความมั่นคงของประเทศ อธิปไตย รวมถึงความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งเรายึดถือกรอบนี้และหลักนี้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการ รมว.กลาโหม กล่าวว่า จากการที่ได้หารือกับ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รมว.กลาโหมกัมพูชา เราตกลงกันแล้วว่าในพื้นที่ของฝ่ายไทย จะดำเนินการตามกฎหมายไทย เมื่อถามว่านโยบายใหม่ของรัฐบาลใหม่มีความชัดเจนเรื่องความมั่นคงตามแนวชายแดนหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลย้ำว่า ชัดเจน แต่ตัวลายลักษณ์อักษรอาจจะยังไม่เสร็จเรียบร้อยแต่ นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ย้ำว่าอธิปไตยต้องมาอันดับแรก
ย้ำต้องใช้กฎหมายไทย
เมื่อถามว่า เวลาประชุม GBC มีการตอบรับจากกัมพูชาดี แต่ในขณะที่พื้นที่มีปัญหาหยุมหยิมตลอด พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ก็แบบที่เคยบอก คือดูคล้ายเขามีความตั้งใจที่จะเข้าสู่กระบวนการ แต่หน้างานก็เป็นแบบนี้ ทั้งพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 กองทัพภาคที่ 1 และด้านจันทบุรี-ตราด ซึ่งตนก็ย้ำอยู่เสมอว่า เจรจาก็ว่ากันไป ส่วนหน้างานก็ว่ากันไป ถ้าวันใดวันหนึ่งที่มารุกล้ำก็ต้องดำเนินการตามกฎการใช้กำลัง ตรงนี้ไม่ต้องเป็นห่วง เราไม่ยอมแน่นอนในเรื่องเขตอธิปไตยของเรา และหากมีการกระทำที่เกินกว่าเหตุมากกว่านี้ ก็ต้องมีการจับกุมบ้าง เพราะจากการสังเกตเมื่อวานนี้น่าจะเป็นการวางแผนไว้ของฝ่ายกัมพูชา พอมากระทำแล้ว วันรุ่งขึ้นก็มีหนังสือไปถึงประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่สอดรับกันมาก
พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า การที่นายกฯ กัมพูชาไปประท้วงกับประเทศต่างๆ ว่าไทยกระทำต่อชาวกัมพูชา ซึ่งภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยากจะเรียนว่า 1.หัวหน้าชุด IOT ของฝ่ายไทยที่มาจากมาเลเซีย ได้กล่าวชมเชยไทยเมื่อวานว่าปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งเราต้องพยายามทำตามขั้นตอนไว้ แต่สิ่งที่เกินกว่าเหตุก็สามารถข้ามขั้นตอนได้ 2.การที่นายกฯ กัมพูชาไปประท้วง ตนก็ไม่เข้าใจ ในขณะที่เราประท้วงกัมพูชาว่ามาวางกับระเบิดในพื้นที่ทัพภาค 2 กัมพูชากลับมาประท้วงไทยว่าวางรั้วลวดหนาม ซึ่งก็ต้องดูว่าอันไหนมันแรงกว่ากัน คงต้องทำความความเข้าใจกันต่อไป กระทรวงกลาโหมได้ประสานกระทรวงการต่างประเทศให้ทำหนังสือประท้วงไปเช่นกัน
“วันนั้นผมจำได้แม่นว่าผมพูดกับ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา ว่าแม้ว่าเส้นเขตแดนจะไม่ชัดเจน แต่สื่อทุกสำนักทราบว่ามันมีเส้นน้ำเงิน เส้นแดง ซึ่งตอนนี้ทั้ง 2 เส้นก็เป็นที่รับทราบทั่วไปแล้ว ผมบอกเขาไปว่าระหว่างเส้นน้ำเงินเส้นแดงไม่ว่ากัน รอ JBC แต่ใต้เส้นแดงมานี่คือของเขตของไทย ขอใช้กฎหมายไทย"
เมื่อถามว่า จะใช้โอกาสนี้ในการกระชับพื้นที่คืนหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า อันนี้ไม่ขอบอก เพราะตนต้องระมัดระวังในการพูด เนื่องจากเป็นช่วงที่เป็น 2 สถานะคือ รักษาการรัฐบาลเก่า และตามสื่อก็อาจเป็นรัฐบาลใหม่ สถานะจึงยังไม่สามารถสั่งการอะไรได้ แต่ก็ได้คุยเป็นการส่วนตัวกับผู้บัญชาการทหารบก แม่ทัพภาคที่ 1 ว่าขอให้ดำเนินการตามกรอบที่มีอยู่ เพราะเรามีกฎการใช้กำลังอยู่แล้ว ประชาชนไม่ต้องเป็นห่วง แม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่สามารถดำเนินงานได้ตามกฎหมาย แต่กฎการใช้กำลังของกระทรวงกลาโหมมีอยู่แล้ว และมอบอำนาจให้ตั้งแต่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก แม่ทัพภาค และ ผบ.กองกำลัง ทุกท่านมีอำนาจตัดสินใจได้อยู่แล้ว ดังนั้นการกระทำใดล่วงล้ำอธิปไตยสามารถตัดสินใจได้ทันที
เว็บไซต์ Khmer Times สื่อภาษาอังกฤษของกัมพูชารายงานว่า พล.อ.ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา ได้มีหนังสือถึงอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานอาเซียนคนปัจจุบัน รวมถึงผู้นำโลกท่านอื่นๆ เช่น ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง, ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ เจ. ทรัมป์, ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอมมานูเอล มาครง, เลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส และประธานสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 80 นางแอนนาลีนา แบร์บ็อค
'ลูกหาบ' กล่อมอาเซียน
ในจดหมายของ ฮุน มาเนต ได้อ้างแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่า กองทัพไทยมีเจตนาที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดครองพื้นที่อีก 17 แห่งในจังหวัดต่างๆ ตั้งแต่โพธิสัตว์ไปจนถึงเกาะกง ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของกัมพูชา อีกทั้งการดำเนินการฝ่ายเดียวข้างต้นของกองทัพไทยนั้น อิงตามแผนที่ที่ร่างขึ้นฝ่ายเดียว ซึ่งขัดแย้งกับแผนที่ที่ตกลงร่วมกัน ซึ่งเป็นผลจากงานกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนและสยาม ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ.1904 และสนธิสัญญา ค.ศ.1907 ระหว่างฝรั่งเศสและสยาม ซึ่งได้รับการรับรองโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และได้รับการยืนยันอีกครั้งโดยกัมพูชาและไทยในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ.2543 (บันทึกความเข้าใจ 2000) บันทึกความเข้าใจ 2000 ฉบับนี้ได้รับการจดทะเบียน ณ องค์การสหประชาชาติโดยประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2554 และได้รับการตีพิมพ์ในชุดสนธิสัญญาสหประชาชาติ
ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สมเด็จควร สุดารี ประธานสภาแห่งชาติกัมพูชา ได้กล่าวถ้อยแถลงบนเวทีสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) โดยระบุว่า ขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณประเทศที่รักสันติภาพทุกประเทศในการสนับสนุนในการก่อให้เกิดการหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งถือเป็นกระบวนการสำคัญในการสร้างความมั่นคงในภูมิภาคและสันติภาพ และต้องระมัดระวังว่าการหยุดยิงค่อนข้างเปราะบาง การควบคุมเชลยศึกทหาร 18 นายของกัมพูชานั้นกระทำโดยมิชอบ การติดตั้งรั้วลวดหนามโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการขัดขวางการใช้ชีวิตของประชาชนในพื้นที่”
“ตอนนี้เราอยู่บนทางแยกที่สำคัญ มีวิกฤตการณ์ต่างๆ มากมาย โลกนี้ยังห่างไกลจากคำว่าสันติภาพ ในภูมิภาคของเราควรจะใช้มาตรการทุกมาตรการในการจัดการปัญหาเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาที่มีความเปราะบางอย่างยิ่ง เพื่อให้เราเป็นภูมิภาคที่มีสันติภาพและเสถียรภาพ”
ประธานสภาแห่งชาติกัมพูชากล่าวว่า การใช้การทูตเชิงรัฐสภาก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญและเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน เราไม่ควรใช้ประเด็นปัญหาทางการเมืองภายในและโยนมาที่เพื่อนบ้าน เราควรต้องสร้างสะพานแห่งความเชื่อใจความร่วมมือ และไม่ควรใช้รั้วลวดหนามมากีดกั้นความสัมพันธ์ของสองประเทศ เราควรแบ่งปันความมั่นคงมั่งคั่งร่วมกัน เราควรส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน เพื่อสร้างสันติภาพให้ยั่งยืนและยาวนานแทนที่จะสร้างสงคราม เราควรหยุดการโทษกันไปมาและควรส่งเสริมการใช้กลไกด้านรัฐสภาระหว่างประเทศในการส่งเสริมสันติภาพ เอกภาพของอาเซียนมีความสำคัญ เราต้องยืนหยัดคุณค่าของเราและหลักการของเรา เราจะไม่ทนว่าอำนาจคือความถูกต้อง และไม่ควรทำให้ผู้ที่อ่อนแอต้องเป็นฝ่ายที่เงียบ
โดยภายหลังที่สมเด็จควร สุดารี ได้กล่าวถ้อยแถลงเสร็จสิ้น ต่างลุกขึ้นปรบมือ ส่งเสียงเชียร์ และยังมีการตบโต๊ะชื่นชมผู้นำตัวเอง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รำลึกพ่อหลวงร.9 ในหลวง-พระราชินีทรงบำ เพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน
ในหลวง-พระราชินี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพรัชกาลที่ 9 และสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เฉลิมพระนามพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมพระนราธิวาสราชนครินทร์ บดินทรเชษฐภคินี
นายกฯยังห่วงหาดใหญ่ ประเดิมพ.ย.เว้น‘ค่าไฟ’
"อนุทิน" รับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน นำประชาชนกลับบ้านแล้ว 90% “เท้ง” แซะบอร์ดมีไว้แค่ให้พาดหัว
อนุทินโวทำจริง/ปปง.จ่อฟันอีก
นายกฯ ลั่นรัฐบาลจริงจังปราบสแกมเมอร์ บอกแค่ 2 เดือนยึดอายัดทรัพย์หมื่นล้าน-เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกกลับ "เพื่อไทย" ถ้าทำงานห่วยจะให้ย้ายไปคุม
พสกนิกรทั่วไทย เข้าถวายสักการะ ‘พระพันปีหลวง’
พระราชวงศ์บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ พสกนิกรทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ากราบพระบรมรูปในหลวง ร.9 และสักการะพระบรมศพ
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง

