กัมพูชาเมินอพยพ! อ้างรอJBCสรุปผลก่อน/นิด้าเผยคนไทยยังมึนเรื่องMOU

"กัมพูชา" ตอบกลับหนังสือ มทภ.1   เมินทำแผนอพยพคนกัมพูชาออกจากพื้นที่รุกล้ำภายใน 7 ต.ค. อ้างให้รอประชุมเจบีซี "ผบ.ฉก.อรัญฯ" ยัน กกล.บูรพาพร้อมลุย 24 ชม. เพียงรอไฟเขียวจากหน่วยเหนือ "ไอโอที" ลงพื้นที่จันทบุรี-ตราด บอกทหารไทยอยู่ในที่มั่น ประชามติเลิก MOU เสียงยังแตก "เพื่อไทย" จี้ "สีหศักดิ์" แสดงจุดยืน "นิด้าโพล" ระบุชัดคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจบันทึกความเข้าใจทั้ง 2 ฉบับ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2568 ภูมิภาคทหารที่ 5 กัมพูชา ได้ทําหนังสือตอบกลับ พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 ต่อข้อเรียกร้องให้ภูมิภาคทหารที่ 5 กัมพูชาจัดทําแผนอพยพประชาชนชาวกัมพูชาในพื้นที่รอบบริเวณบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว อําเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว บ้านตาพระยา อําเภอตาพระยา  จังหวัดสระแก้ว รวม 3 พื้นที่ และส่งมอบแผนอพยพนี้ให้กับกองทัพภาคที่ 1 ภายในวันที่ 7 ต.ค.  จึงยอมประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (อาร์บีซี) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 10-12 ต.ค. กรุงปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ราชอาณาจักรกัมพูชา

โดยภูมิภาคที่ 5 ชี้แจงจุดยืนระบุว่า 1.ข้อเสนอจัดประชุมอาร์บีซีสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการมอบหมายภารกิจให้แก่คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ของทั้ง 2 ประเทศ และที่ได้กําหนดไว้ในการประชุมวิสามัญครั้งที่ 1 ของคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค กัมพูชา-ไทย เมื่อ 22 ส.ค.2568 2.กรณีหมู่บ้านโจคเจยและบ้านเปรยจัน ซึ่งกองทัพภาคที่ 1 ได้เสนอมานั้น การประชุมอาร์บีซีมีหน้าที่เพียงอํานวยความสะดวกแก้ไขปัญหาในพื้นที่บรรเทาความตึงเครียดและแก้ไขปัญหาอย่างสันติ แต่ไม่มีอํานาจในการกําหนดเกี่ยวกับเส้นเขตแดน

3.ขอแจ้งว่าจากการสังเกตการณ์ในพื้นที่จริงได้แสดงให้เห็นและยืนยันอย่างชัดเจนว่า ในบางพื้นที่มีการยึดครองและแสวงประโยชน์โดยคนไทยภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ปัญหานี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความยากลําบากในการแก้ไขปัญหาชายแดน จึงจําเป็นต้องเคารพข้อตกลงและหลักการที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกันไว้ในอดีตกัมพูชามุ่งมั่นที่จะเคารพสิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกันไว้ กล่าวคือ รอผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) โดยเฉพาะกรณีในพื้นที่บ้านโจคเจย และบ้านเปรยจัน (รวมถึงพื้นที่ที่มีการก่อสร้างของไทยและประชาชนชาวไทยดําเนินการอยู่นอกเขตชายแดนบางพื้นที่) โดยในเรื่องนี้กัมพูชายังคงผลักดันให้มีประชุมเจบีซีเพื่อหาทางออกโดยเร็ว และ 4.ขอให้เคารพข้อตกลงที่ทั้ง 2 ฝ่าย กัมพูชา-ไทย ได้ตกลงกันไว้ในการประชุมอาร์บีซีที่ผ่านมา หลีกเลี่ยงกิจกรรมใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายระหว่างรอการพิจารณาของเจบีซีของทั้ง 2 ประเทศ

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณี พล.ท.หญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกมากล่าวหาไทยเรื่องการอพยพและการประชุมอาร์บีซีว่า กรณีพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วมีการรุกล้ำพื้นที่ใน 2 ลักษณะ ลักษณะแรกรุกล้ำอยู่ในเขตพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ ซึ่งตามข้อตกลงของทั้งสองประเทศ ที่อยู่ในเงื่อนไข ต้องอาศัยกลไกเจบีซี แต่สำหรับลักษณะที่สอง ล่วงล้ำอยู่ในเขตอธิปไตยไทยอย่างชัดเจน ตรงนี้คือความเร่งด่วนแรกที่ฝ่ายไทยจำเป็นต้องดำเนินการ

ส่วนกัมพูชาจะรอผลการพิจารณาของเจบีซีเกี่ยวกับกรณีพื้นที่บ้านโจคเจยและบ้านเปรยจัน  รวมถึงพื้นที่ที่มีสิ่งปลูกสร้างหรือกิจกรรมของประชาชนไทยที่รุกล้ำข้ามเส้นเขตแดนบางส่วน   จึงขอผลักดันให้มีการจัดการประชุมเจบีซีโดยเร็วนั้น พล.ต.วินธัยระบุว่า กลไกเจบีซีมีส่วนสำคัญสำหรับการกำหนดเขตแดนในพื้นที่ที่มีความสลับซับซ้อน แต่กรณีปัญหาบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วนั้น มีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบ สามารถลากเส้นตรงเชื่อมระหว่างหลักเขตที่ทั้งสองฝ่ายได้มีการสำรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถพอเห็นภาพแนวสมมุติฐานอ้างอิงเขตแดน เพื่อใช้ไปประกอบในการทำงานได้

"กองทัพบกยืนยันที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยมุ่งส่งเสริมกระบวนการหารือและหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ หากฝ่ายกัมพูชาตระหนักถึงข้อเท็จจริงตามที่ได้ชี้แจงไปแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าแนวทางแก้ไขที่ฝ่ายไทยเสนอมีความเหมาะสม สอดคล้องกับหลักสากลและกลไกทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศยึดถือร่วมกัน แนวทางดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาเท่านั้น  แต่ยังส่งผลดีต่อความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศในระยะยาว และหากทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่นี้ได้สำเร็จ ก็เชื่อมั่นได้ว่าพื้นที่อื่นๆ ที่ยังมีประเด็นค้างอยู่ก็จะสามารถแก้ไขได้ด้วยสันติวิธีเช่นเดียวกันในอนาคต"

ด้าน พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงแนวทางการสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ไม่เพียงแค่รั้วลวดหนามอย่างเดียว แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่นเพื่อเสริมความมั่นคง เช่น การติดกล้อง CCTV เพื่อสอดส่องในเวลากลางคืน ส่วนรั้วจะทำตลอดแนวชายแดนหรือไม่นั้น จริงๆ แล้วรั้วในพื้นที่สำคัญทางยุทธวิธีก็วางก่อน ส่วนจะขยายอย่างไร เป็นเรื่องของอนาคต อันดับแรกเราทำในส่วนการป้องกันตัวเองก่อน ทำให้กำลังพลเราปลอดภัย ก็ต้องวาง เพราะเมื่อทหารปลอดภัย คนก็จะปลอดภัย

รอหน่วยเหนือไฟเขียว

ขณะที่ พ.อ.ชัยณรงค์ กาสี ผู้บัญชาการหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ กล่าวกับประชาชนที่มาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์บริเวณบ้านหนองจาน ว่าเราจะรักษาอธิปไตยของไทยไว้ และส่วนไหนที่ถูกรุกล้ำอยู่ เราก็จะเอาคืนมาให้ได้ แต่เรื่องของวิธีการและช่วงเวลานั้น ไม่มีใครทราบได้ว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่ แต่ก็ยืนยันว่าในฐานะที่เป็นคนไทยและเป็นทหารไทย ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยผิดหวัง ขอให้เป็นกำลังใจ และในวันที่ 10 ต.ค. อยากขอความกรุณาหากจะมาแสดงออกก็มาได้ แต่ขอให้อยู่เพียงแค่จุดนี้ เพราะหากเข้าไปด้านในตรงแนวรั้วลวดหนาม เกรงว่าจะได้รับอันตราย ซึ่งในส่วนนั้นทหารต้องรับผิดชอบ

“ตอนนี้แม่ทัพภาคที่ 1 ก็เต็มที่อยู่แล้ว และยืนยันคำเดิมเหมือนที่ท่านแม่ทัพภาค 1 คนใหม่เคยพูดไว้ ว่าเราทำแน่หากเมื่อไหร่เราได้เปรียบ และเมื่อพร้อม เพราะทุกอย่างเราเตรียมการได้หมดแล้ว และเชื่อว่าทหารที่มาอยู่ที่นี่ตลอด 3 เดือนก็จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่”

พ.อ.ชัยณรงค์ให้สัมภาษณ์ย้ำอีกครั้งว่า กองกำลังของฝั่งไทยพร้อมที่จะทำอยู่แล้ว แต่รอช่วงเวลาที่ได้เปรียบก็เท่านั้น ดังนั้นไม่อยากให้กำหนดเป็นวัน ไม่งั้นเราจะเสียเปรียบได้ รวมถึงกองกำลังบูรพาก็รอสั่งการจากผู้บังคับบัญชา แต่ทุกอย่างเราเตรียมการไว้หมดแล้ว ไม่ใช่แค่เฉพาะทหาร แต่รวมถึงทางจังหวัด ตำรวจและ ตม.ด้วย ไม่มีอะไรเป็นข้อจำกัด

 “เชื่อว่าในวันที่ 10 ต.ค.กัมพูชาคงจะพาคณะ IOT รวมถึงเด็กและคนแก่มาประชิดในรั้วบ้านหนองจานเหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรจากเมื่อวันที่ 3 ต.ค. แต่กองกำลังบูรพาพร้อมลุย 24 ชั่วโมง เพียงแค่รอคำสั่ง และยังไม่สามารถกำหนดวันได้ ถึงมีวันที่กำหนดไว้แล้วก็คงตอบออกสื่อไม่ได้ อยากให้รู้เพียงแค่ว่าพร้อม” พ.อ.ชัยณรงค์ย้ำ

วันเดียวกัน พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ (ทร.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค. พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ  (ผบ.ทร.) พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่ชายแดน โดยได้รับทราบสถานการณ์ชายแดนล่าสุด รวมทั้งติดตามความก้าวหน้าของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ในการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำอธิปไตยตลอดแนว จ.จันทบุรีและตราด รวมถึงตรวจสอบการรื้อทำลายสิ่งปลูกสร้างกรณีบ้าน 3 หลัง บริเวณบ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ด้วยตนเอง

 “นอกจากนี้ได้เดินทางไปบริเวณหลักเขตที่ 52-58 ใน อ.สอยดาว และ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี เพื่อดูพื้นที่และสั่งการให้มีการเตรียมพื้นที่เพื่อสร้างรั้วถาวรตามแนวชายแดน ตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ผ่านมา และได้ถือโอกาสนี้เยี่ยมบำรุงขวัญกำลังพลของกองทัพเรือทั้งกำลังทางบกและทางทะเลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง”

ขณะเดียวกัน กองทัพไทย และกองทัพภาคที่ 2  ได้นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) 3 ประเทศ ประกอบด้วย บรูไน มาเลเซีย และสิงคโปร์ รวม 4 นาย นำโดย พลจัตวาซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว IOT ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมเชลยศึก อ.เมืองฯ จ.สุรินทร์ จากนั้นเดินทางต่อไปพื้นที่ช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ในบริเวณรั้วชายแดน ใกล้แนวเส้นปฏิบัติการและจุดที่มีการละเมิด

พลจัตวาซัมซุลให้สัมภาษณ์หลังจากที่ได้ลงพื้นที่สังเกตการณ์ว่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมเจบีซีจะเกิดขึ้นโดยเร็ว โดยการลงพื้นที่ทั้ง 2 วัน ทหารไทยยังอยู่ในที่มั่น ไม่ได้เสริมกำลังปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงที่คุยกันในที่ประชุม ซึ่งการลงพื้นที่เสร็จ คณะ IOT จะส่งรายงานกลับไปยังกองบัญชาการทุกวัน ทุกสัปดาห์ และทุกเดือน ลงพื้นที่ปุ๊บทำปั๊บ

 “คณะผู้สังเกตการณ์ IOT และสื่อมวลชนยังคงรอผลการประชุมจีบีซีและเจบีซี เชื่อมั่นว่า 2 ประเทศต้องการให้สันติภาพเกิดขึ้น”

ส่วนนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธาน กมธ. ลงพื้นที่ภูมะเขือ จุดยุทธศาสตร์ไทย-กัมพูชา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อติดตามปัญหาด้านความมั่นคง โดยได้แวะดูที่ปั๊มน้ำมัน ซึ่งระเบิดตกทำให้ร้านสะดวกซื้อพังทลาย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 18 ล้านบาท ว่า ความชัดเจนเรื่องเงินเยียวยาจะได้เท่าไร ได้อย่างไร เป็นสิ่งที่ประชาชนยังตั้งคำถาม ดังนั้นโจทย์ระยะสั้นของนายอนุทินคือ จะทำอย่างไรให้ประชาชนตามแนวชายแดนได้รับการเยียวยาโดยเร็วที่สุด จะทำอย่างไรให้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้าย พร้อมกับมีมาตรการเชิงรุกมากกว่าการเจรจา

หวั่นใช้อารมณ์ตัดสิน

นายรังสิมันต์ยังกล่าวถึงเรื่องทำประชามติยกเลิก MOU ว่าป็นเรื่องเทคนิคมาก ยังไม่มั่นใจเลยว่า สส.ในสภาจะเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ ดังนั้นการให้ประชาชนตัดสินใจ ต้องคำนึงว่าประชาชนจะต้องเข้าถึงข้อมูลมากเพียงพอก่อนตัดสินใจ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายได้ เพราะจุดสำคัญในการตัดสินใจอยู่ที่ผลประโยชน์ของชาติโดยรวม คงไม่ใช่เรื่องอารมณ์หรือความรู้สึก

ด้าน น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร สส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีการเตรียมการให้มีการทำประชามติรับฟังความเห็นประชาชนว่า จะให้มีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU 43) และทางทะเล (MOU 44) ระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดค่อนข้างซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ มีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ควรเป็นเรื่องของความชอบ ไม่ชอบ สนับสนุน หรือไม่สนับสนุนเท่านั้น ฉะนั้นการโยนเรื่องสำคัญและซับซ้อนนี้ไปให้ประชาชนตัดสินด้วยการทำประชามติ อาจจะไม่ใช่หนทางที่ทำให้ประเทศไทยได้ผลประโยชน์ที่ดีที่สุด

น.ส.สรัสนันท์กล่าวอีกว่า ได้ทำหนังสือเชิญนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่ามีความคิดเห็นในส่วนของ MOU นี้อย่างไร ควรที่จะคงไว้ หรือยกเลิก หรือถ้าหากไม่มี MOU ทั้ง 2 ฉบับนี้แล้วจะมีกลไกใดที่จะนำไปสู่การเจรจากันได้อย่างสันติ โดยคาดหวังว่าจะมาตอบคำถามด้วยตัวเอง

น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล รองโฆษกพรรค พท. กล่าวว่า เรื่องนี้อาจเป็นการผลักภาระทางการเมืองให้ประชาชน ทั้งที่เรื่องนี้รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารสามารถตัดสินใจได้เองหากเห็นว่า MOU 43 และ 44 ไม่เหมาะสมก็ควรชี้แจงถึงหลักเหตุผลอย่างชัดเจน พร้อมบอกด้วยว่าจะดำเนินการอย่างไร ไม่ใช่การผลักภาระการตัดสินใจให้ประชาชนด้วยการทำประชามติที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความสับสน

 “สิ่งที่น่ากังวลคือรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล หวังผลความนิยมทางการเมืองมากกว่ามองผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว จึงอยากตั้งคำถามถึงนายอนุทิน ว่าหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้วหรือไม่ และเรียกร้องให้นายสีหศักดิ์ ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวง ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าคิดเห็นอย่างไรกับ MOU 43 และ 44”

นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า เวลา 4 เดือนนี้รัฐบาลควรเร่งให้ข้อมูลเนื้อหาสาระและข้อดี-ข้อเสียของเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับต่อประชาชน โดยเริ่มจากการทำคัมภีร์สรุปประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับเอ็มโอยู 43-44 เพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าใจ เพราะขณะนี้ประชาชนต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลาไปศึกษาหาข้อมูล และเรื่องนี้เป็นประเด็นทางเทคนิค และกฎหมายระหว่างประเทศและเขตแดน ซึ่งแม้แต่คนที่ติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องก็ยังมีความเห็นแตกต่างกันไปคนละทิศละทาง ทั้งที่เป็นความเห็นโดยสุจริตใจ และก็เป็นความเห็นที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ดังนั้นเสนอให้รีบทำสรุปคัมภีร์ประเด็นสำคัญของเอ็มโอยู ที่ไม่ใช่ท่าทีการเจรจาที่เป็นความลับ เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาทางออนไลน์จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กล่าวว่า รัฐบาลต้องยกเลิกเอ็มโอยู 43, 44 และยกเลิกแผนที่มาตราส่วนแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวสั้นๆ ว่า เอ็มโอยู 43, 44 ถ้าไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ควรจะไปรับรอง ยกเลิกไปเสีย

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ระบุว่า เอ็มโอยู 43 และ 44 เป็นเอ็มโอยูที่มีปัญหา ที่สำคัญคือมาตราส่วนแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ระบุในเอ็มโอยู 43 เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกัมพูชา ทำให้ประเทศไทยเสียประโยชน์ กัมพูชาเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ MOU 44 เกิดขึ้นเพราะความงกของนักการเมือง ที่ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติ รัฐบาลนายอนุทินจึงต้องแสดงความกล้าหาญโดยการยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ระบุว่า เรื่อง MOU 43-44 ไม่ต้องรอประชามติ รัฐบาลต้องใช้ความกล้าหาญในการยกเลิกทันที ถ้าไม่กล้าก็ออกไป อย่าได้เสียเวลา วันนี้ต้องมีความเด็ดขาด เพราะ MOU 43-44 ที่เป็นปัญหาของชาตินั้น ความจริงถูกฉีกมาตั้งแต่กัมพูชาละเมิดตั้งแต่วันแรก ไม่ใช่ปล่อยให้กัมพูชาละเมิดกว่า 600 ครั้งเช่นนี้ มันเหมือนกัมพูชาเดินมาตบหน้าดังเปรี๊ยะ

คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ MOU

 “ต่อให้มีการสร้างรั้ว หรือขีดเส้นตายผลักดันกัมพูชาในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ถ้าผู้ว่าฯ สระแก้วไม่จริงจัง ก็เท่ากับเป็นการขีดเส้นตายให้กับผู้ว่าฯ สระแก้วเหมือนกัน”

วันเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลการสำรวจเรื่องจะทำประชามติแล้ว…เข้าใจ MOU 43 และ MOU 44 หรือยัง โดยสอบถามประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ  1,310 หน่วยตัวอย่าง ซึ่งเมื่อถามความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง MOU 43 พบว่า ตัวอย่าง 44.12% ระบุว่าไม่เข้าใจเลย, 24.96% ไม่ค่อยเข้าใจ, 23.13% ค่อนข้างเข้าใจ และ 7.79% เข้าใจมาก ด้านความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง MOU 44 พบว่า 45.73% ไม่เข้าใจเลย, 24.96% ไม่ค่อยเข้าใจ, 22.44% ค่อนข้างเข้าใจ และ 6.87% เข้าใจมาก

สำหรับความต้องการของประชาชนในการทำความเข้าใจเรื่อง MOU 43 และ MOU 44 ให้ชัดเจนมากขึ้น พบว่า 65.50% ต้องการที่จะเข้าใจทั้ง MOU 43 และ MOU 44 รองลงมา 34.04% ไม่ต้องการที่จะเข้าใจเลยทั้ง MOU 43 และ MOU 44 และ 0.23% ต้องการที่จะเข้าใจเฉพาะ MOU 43 และต้องการที่จะเข้าใจเฉพาะ MOU 44 ในสัดส่วนที่เท่ากัน

สุดท้ายเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการทำประชามติเรื่องการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 พบว่า 60.76% เห็นด้วยที่จะมีการทำประชามติยกเลิกทั้ง MOU 43 และ MOU 44 รองลงมา 20.92% ไม่เห็นด้วยเลยที่จะมีการทำประชามติยกเลิกทั้ง MOU 43 และ MOU 44,  12.60% ไม่ตอบ/ไม่สนใจ, 4.96% ไม่แน่ใจ, 0.46% เห็นด้วยที่จะมีการทำประชามติยกเลิกเฉพาะ MOU 43 และ 0.30% เห็นด้วยที่จะมีการทำประชามติยกเลิกเฉพาะ MOU 44.

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.