คนไทยเตรียมลงทะเบียน “คนละครึ่งพลัส” รัฐบาลเตือนอย่าตกเป็นเหยื่อลิงก์ลงทะเบียนปลอม ชาวบ้านแน่นแบงก์กรุงไทย แห่ยืนยันตัวตนหวังรับสิทธิ์ “สภาอุตฯ” แนะต่อยอดโครงการหลังสิ้นสุด
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม 2568 น.ส.อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งพลัสจะเปิดให้ประชาชนเริ่มลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ตั้งแต่วันที่ 20-26 ต.ค.2568 ตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น. โดยผู้ที่ได้รับสิทธิร่วมโครงการจะเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค.2568 ส่วนความคืบหน้านับตั้งแต่เริ่มลงทะเบียน ในส่วนผู้ประกอบการร้านค้าเมื่อวันที่ 15-17 ต.ค.2568 พบว่า มีร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการสำเร็จแล้ว 123,960 ราย แบ่งเป็นร้านค้ารายเดิม 72,185 ราย และร้านค้ารายใหม่ 51,775 ราย ส่วนร้านค้าที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการสมัคร 98,064 ราย แบ่งเป็นรอให้ร้านค้าเข้ามากดยอมรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการ 91,917 ราย และรอดำเนินการตรวจสอบ 6,147 ราย
“โครงการคนละครึ่งพลัสได้รับความสนใจทั่วประเทศ จึงเป็นเหตุให้เหล่ามิจฉาชีพพยายามฉวยโอกาสหลอกลวงประชาชนหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการส่งลิงก์ปลอมมาหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวและดูดทรัพย์ของประชาชน ซึ่งปัญหาดังกล่าวรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ได้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากประชาชนได้รับลิงก์ปลอม ขอให้พิจารณา ตั้งสติ และไม่กดลิงก์ ส่วนกรณีประชาชนเผลอกดลิงก์ปลอมและได้รับความเสียหาย ขอให้แจ้งความออนไลน์ได้ที่ https://www.thaipoliceonline.go.th/login หรือโทร.สายด่วนที่ 1441 เพื่อระงับบัญชีคนร้ายภายใน 72 ชั่วโมง และรีบเข้าพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน”
ขณะที่ น.ส.ลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสอย่างเป็นทางการแล้ว ทำให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์ชำระค่าตั๋วรถ บขส.ทุกเส้นทางทั่วประเทศ ณ ช่องจำหน่ายตั๋วทุกสถานี ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค.2568 โดยจำกัดวงเงินใช้สิทธิ์สูงสุดที่ 200 บาทต่อวัน เพื่อให้เกิดการกระจายการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม
ขณะเดียวกัน ธนาคารกรุงไทยในหลายพื้นที่ได้มีประชาชนจำนวนมากมาเข้าคิวธนาคาร และเข้าคิวหน้าตู้เอทีเอ็มเพื่อยืนยันตัวตน ก่อนไปยืนยันสิทธิ์ในโครงการคนละครึ่งพลัสที่รัฐบาลจะเปิดให้ลงทะเบียนในวันจันทร์นี้
ด้านนายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัส ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศโดยตรง เป็นแรงขับสำคัญในการเพิ่มกำลังซื้อและกระจายเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจช่วงปลายปี แต่โครงการยังมีข้อจำกัด คือ การกระตุ้นอาจเป็นระยะสั้น เมื่อสิ้นโครงการ คนอาจลดการใช้จ่าย หากงบประมาณไม่สมบูรณ์หรือกลุ่มเป้าหมายไม่ครอบคลุม อาจเกิดความเหลื่อมล้ำ ร้านค้าและ SME บางแห่งอาจไม่มีศักยภาพรองรับ เช่น เรื่องระบบรับจ่ายดิจิทัล ค่าใช้จ่ายทางเทคโนโลยี หากราคาสินค้าถูกกดให้สูงขึ้นโดยผู้ค้าปรับตัวอาจลดประสิทธิผลของการช่วยเหลือ อาจกดดันงบการคลังระยะยาว หากใช้งบประมาณสูงเกินและขาดการวางแผนเชิงโครงสร้าง
นายอภิชิตกล่าวว่า ขอแนะนำให้รัฐบาลพลิกโครงการให้เข้มแข็งขึ้น โดย 1.ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุม โดยให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเปราะบางจริงจัง 2.จับคู่กับมาตรการเสริมศักยภาพ SME เช่น ให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ ฝึกอบรม ปรับระบบดิจิทัล 3.ให้ร้านค้า/SME สามารถเข้าถึงระบบรับจ่ายอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสะดวก 4.ควบคุมและตรวจสอบไม่ให้มีการตั้งราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเกินควร 5.วางแผนต่อเนื่อง (นโยบายต่อเนื่อง) เมื่อโครงการสิ้นสุด ต้องมีแผนต่อยอด เช่น โครงการซื้อกลุ่มประชาชนรายได้ต่ำ โครงการช้อปช่วยชาติ หรือบัตรสวัสดิการ และ 6.ผสมกับนโยบายโครงสร้าง เช่น ปรับภาษี ลดภาระต้นทุนธุรกิจ ให้ SME อยู่ได้แม้สภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้อ
ขณะที่ รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า มาตรการ Quick Big Win กระตุ้นเศรษฐกิจมีขีดจำกัดในการกระตุ้นการบริโภค อาจเพียงช่วยบรรเทาปัญหาการชะลอตัวและความยากลำบากทางเศรษฐกิจเท่านั้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นการใช้งบประมาณเดิม ไม่ได้เพิ่มเม็ดเงินงบประมาณใหม่เพิ่มเติม การเพิ่มเม็ดเงินใช้จ่ายจากงบประมาณใหม่และการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมมีความจำเป็นในการป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไหลลงลึกไปกว่านี้ ป้องกันการปิดกิจการของธุรกิจเอสเอ็มอี
“เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องมีการผ่าตัดใหญ่และปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ปัญหาบางอย่างต้องดำเนินการโดยไม่ชักช้า และไม่สามารถรอรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งได้ สังคมไทยโดยเฉพาะประชาชนในระดับฐานรากเจอกับกับดักซ้ำซ้อน กับดักหนี้สิน กับดักความเหลื่อมล้ำ กับดักปัญหาสถาบันครอบครัว กับดักรายได้ต่ำขาดเงินออมและไม่มีความมั่นคงในงาน” รศ.ดร.อนุสรณ์ระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถอดบทเรียนห้ามเกียร์ว่าง คนละครึ่งฯช่วยน้ำท่วมใต้
"บวรศักดิ์" ถก "สตง." วางกรอบตรวจจ่ายเงินในภาวะฉุกเฉิน ชง ครม.ใช้หลักการเดียวกันทั่วประเทศกรณีภัยพิบัติ
หนุนคนแก่ออม หักลดหย่อนภาษี สูงสุด8แสนบาท
นายกฯ มอบ “เอกนิติ” ประชุม คกก.เศรษฐกิจ รับทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win
นร.นอกระบบ ร่วมน้อมรำลึก พระพันปีหลวง
พระราชวงศ์ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย "พระพันปีหลวง" นักเรียนการศึกษานอกระบบเข้ากราบพระบรมศพฯ
สส.แห่โชว์กึ๋นจัดการกัมพูชา
พรั่งพรูพรรคการเมืองระดมมันสมอง นำเสนอวิธีจัดการกับกัมพูชา "หัวหน้าเท้ง" การสงครามก็เก่ง สวมบทขงเบ้งแนะวิธีปิดเกม
ทวงคืนหลายพื้นที่! ยึดปราสาทคนา-รุกคืบตาควาย-พลีชีพ1เจ็บ18/รบ.ไม่เจรจา
ศึกชายแดนไทย-กัมพูชาระอุ! เขมรเปิดแนวรบตั้งแต่ตีห้าในหลายพื้นที่ทั้ง “อุบลฯ-สุรินทร์-ศรีสะเกษ-บุรีรัมย์-สระแก้ว”
มั่นใจ‘ชาวหาดใหญ่’ใช้ชีวิตปกติ
"มท.3" สั่งทุกหน่วยระดมกำลังเร่งฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม ตามเป้า “7 วันกลับบ้าน 14 วันสะอาด” ห่วง 11-14 ธ.ค.ฝนถล่มซ้ำ

