"คลัง" ปรับเพิ่มจีดีพีปี 68 โตแตะ 2.4% อานิสงส์ “คนละครึ่งพลัส” ตัวพลิกเกม หนุนบรรยากาศใช้จ่ายไตรมาส 4 ฟีเวอร์ ลุ้นครึ่งปีหลังพุ่ง 1.8% ส่วนปี 69 แรงตกเหลือโต 2% เหตุส่งออกป่วน “เอกนิติ” ปลื้ม คนละครึ่งพลัสวันแรกเงินสะพัด 1.5 พันล้าน เตรียมเฮเฟส 2 ลงดาบระงับสิทธิ 7 ร้านค้าพบทุจริต
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 เพิ่มเป็น 2.4% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.2% เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายปี ที่คาดว่าจะกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้ขยายตัวได้ดีในไตรมาส 4/2568 และภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกจะขยายตัวสูงถึง 10% จากการเร่งส่งออก ขณะเดียวกันคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวได้ดีที่ 3% โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นั้น นายวินิจระบุว่า คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ถึง 1.8% สูงขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ 1.6% โดยมีตัวแปรสำคัญคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2568 ที่ประเมินว่าจะมีทิศทางค่อนข้างดี โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ จะประกาศในช่วงกลางเดือน พ.ย.นี้ หลักๆ มาจากการส่งออกในเดือน ก.ย.2568 ที่ขยายตัวสูงถึง 19% ซึ่งดีกว่าคาดการณ์ที่ 10% เป็นปัจจัยสำคัญ อีกทั้งยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งการเติมเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2.2 หมื่นล้านบาท โครงการคนละครึ่งพลัส ที่คาดว่าจะช่วยดันเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 8.8 หมื่นล้านบาท และมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว รวมถึงมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่าย (ฟรอนต์โหลด) ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2568 พ้นการติดหล่มได้ โดยจะขยายตัวได้สูงกว่า 0.3% อย่างแน่นอน
“ไตรมาส 4/2568 มีปัจจัยที่เป็นตัวพลิกผัน หรือเป็นจุดเปลี่่ยนของเศรษฐกิจที่เห็นได้ชัดมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งทันทีที่เริ่มโครงการก็มีการใช้จ่ายอย่างดี สะท้อนว่าโครงการเริ่มทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว มาตรการเร่งเบิกจ่าย ซึ่งเหล่านี้จะเข้ามาช่วยเรื่องบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยวให้ดูคึกคักมากขึ้น เหล่านี้เป็นปัจจัยที่เห็นได้ชัด และหวังว่าจะช่วยเศรษฐกิจได้” นายวินิจกล่าว
ขณะที่แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในปี 2568 น่าจะยังติดลบ ซึ่งจากการหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ชี้แจงว่า มีความเป็นไปได้สูงที่อัตราเงินเฟ้อของไทยจะยังไม่เข้าสู่กรอบล่างของเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1% โดยจะยังติดลบไปจนถึงไตรมาส 2/2569 ส่วนปัญหาเงินฝืดนั้น ยังต้องมีนิยามอื่นประกอบด้วย ทั้งตัวเลขเศรษฐกิจชะลอตัว ความต้องการซื้อ และกำลังซื้อลดลง ไม่ใช่แค่อัตราเงินเฟ้อติดลบเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันจากหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ช่วยทำให้กำลังซื้อยังมี โดยเงินเฟ้อที่ติดลบขณะนี้เป็นปัจจัยมาจากเรื่องต้นทุนเป็นหลัก
มีรายงานว่า ภาพรวมการใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส ณ วันที่ 30 ต.ค. เวลา 15.00 น. พบว่ามีผู้ใช้จ่ายผ่านโครงการสำเร็จ 9.9 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 2.85 พันล้านบาท แบ่งเป็น เงินที่ประชาชนจ่าย 1.44 พันล้านบาท และเงินที่รัฐบาลร่วมจ่าย 1.41 พันล้านบาท และเป็นร้านค้าที่ใช้จ่ายสำเร็จ 5.71 แสนราย
นอกจากนี้ มีร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการสำเร็จแล้ว จำนวน 6.71 แสนราย แบ่งเป็น ร้านค้ารายเดิม 1.01 แสนราย และร้านค้ารายใหม่อีก 5.7 แสนราย ขณะเดียวกันมีร้านค้าที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการสมัคร 6.01 หมื่นราย แบ่งเป็น รอให้ร้านค้าเข้ามากดยอมรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการ 5.61 หมื่นราย และรอดำเนินการตรวจสอบอีก 4.05 พันราย
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง กล่าวถึงบรรยากาศโครงการคนละครึ่งพลัส ภายหลังเริ่มโครงการวันแรกเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า เมื่อวันที่ 29 ต.ค. มีเงินสะพัด 1,500 ล้านบาท มีประชาชนใช้สิทธิ 1.6 ล้านคน ร้านค้าประมาณ 6 แสนราย ขอบคุณทุกคนที่ให้การสนับสนุนโครงการนี้ ยืนยันว่าร้านค้ายังสามารถลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 19 ธ.ค.
เมื่อถามว่า ประชาชนที่ตกหล่นสามารถรอโครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 ได้เลยใช่หรือไม่ นายเอกนิติกล่าวว่า ได้ เพราะนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้สั่งการแล้ว
ขณะที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การใช้สิทธิ์โครงการคนละครึ่งพลัส (29 ตุลาคม 2568) แบ่งยอดการใช้จ่ายตามประเภทร้านค้า ดังนี้ 1.ร้านธงฟ้า จำนวน 709 ล้านบาท 2.ร้านอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 697 ล้านบาท 3.ร้านทั่วไปและอื่นๆ จำนวน 474 ล้านบาท 4.ร้านค้าบริการ จำนวน 10 ล้านบาท 5.ร้านโอท็อป จำนวน 8 ล้านบาท และ 6.กิจการขนส่งมวลชนสาธารณะ จำนวน 3 ล้านบาท รวมการใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งพลัส จำนวน 1,900 ล้านบาท สำหรับยอดการใช้จ่ายสูงสุด 10 อันดับแรกของประเทศ เรียงตามลำดับ ดังนี้ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี นครราชสีมา สมุทรปราการ ปทุมธานี นนทบุรี สงขลา นครศรีธรรมราช เชียงใหม่ และขอนแก่น
น.ส.อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เตือนประชาชนที่ได้รับสิทธิคนละครึ่งพลัสแล้วนำมาขายสิทธิให้ผู้อื่น และร้านค้าหรือกลุ่มร้านค้าร่วมกับมือกับผู้ได้รับสิทธิคนละครึ่งพลัส ใช้สิทธิโดยไม่มีการซื้อ-ขายสินค้าจริง เป็นการกระทำที่มีความผิดฐาน “ฉ้อโกง” (มาตรา 341/342 ประมวลกฎหมายอาญา) มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกระงับสิทธิไม่ให้เข้าร่วมโครงการอื่นของรัฐบาล รวมถึงต้องคืนเงินให้รัฐบาลด้วย
ด้านนายวินิจ วิเศษสุวรรภูมิ ผอ.สศค. ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ดำเนินการระงับสิทธิกับร้านค้าที่ทำผิดเงื่อนไขโครงการคนละครึ่งพลัสเพิ่มอีก 7 ราย จากก่อนหน้านี้ดำเนินการแล้ว 3 ราย โดยทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการร้านค้าที่มีแอปพลิเคชันถุงเงิน สืบเนื่องจากการเพิ่มระบบ Data Analysis ในการตรวจสอบและติดตามการใช้จ่ายในโครงการ ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับธุรกรรมที่ต้องสงสัย หรือผิดปกติได้มากขึ้น
“เราเพิ่มระบบ Data Analysis เข้ามา ซึ่งตรงนี้จะช่วยในการรันข้อมูล และมีระบบติดตามการใช้จ่ายในโครงการอย่างใกล้ชิด ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ร้านค้าหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการมีการขายสินค้าที่จุดที่ 1 แล้ว และภายในระยะเวลา 1 นาที พบว่ามีการขายสินค้าอีกในระยะทางที่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติ ตรงนี้ระบบก็จะเข้าไปติดตามดูอย่างใกล้ชิด จริงๆ แล้วเรามีระบบติดตามแบบนี้อยู่แล้ว แต่ในโครงการคนละครึ่งพลัสครั้งนี้ได้มีการเตรียมการอย่างดีเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้” นายวินิจกล่าว
ทั้งนี้ ยืนยันว่าปัจจุบันร้านค้าหรือประชาชนที่ทำผิดหรือส่อทำผิดตามเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่งพลัสยังมีจำนวนน้อย แต่หากหน่วยงานที่รับผิดชอบเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจและติดตาม ก็เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ไปได้ และกระทรวงการคลังยืนยันชัดเจนว่าหากพบมีการกระทำผิดเงื่อนไขของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าหรือประชาชน พร้อมจะดำเนินคดีฉ้อโกงอย่างถึงที่สุดทุกกรณีทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีการยอมความแต่อย่างใด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดีเอสไอส่งฟันแก๊งคุกVIP ‘ปปช.’เร่งสอบล่าตัวการ
“ดีเอสไอ" สรุปสำนวนสืบสวน “คดีคุกวีไอพีจีนเทา” ส่ง ป.ป.ช.ดำเนินคดี ม.157
คุก2ปีอดีต‘สส.ส้ม’สด.43เก๊
ศาลอาญาสั่งจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา "จิรัฏฐ์" อดีต สส.ปชน. ใช้ใบ สด.43 ปลอม
‘เฟส2’รออนุทินคัมแบ็ก คลังพับแผนกระตุ้นศก.
เอวัง “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” นายกฯ บอกชัดรอคัมแบ็กเป็นรัฐบาลปกติค่อยเดินหน้าต่อ
ยึด‘ช่องอานม้า’ 2.4พันล.สู้เขมร
“ครม.” อนุมัติงบกลาง 2.4 พันล้าน ให้กองทัพสู้ศึกชายแดน
ห้ามครม.เอื้อเลือกตั้ง หนูสั่งหาเสียงลาราชการ ดร.เชนปลื้มDNAชินวัตร
“อนุทิน” กำชับ ครม.อย่าใช้อำนาจ-ทรัพยากรรัฐเอื้อประโยชน์เลือกตั้ง
เคาะวันเลือกตั้ง8กพ. กกต.เปิดรับสมัคร27-31ธค. ก๊วนการเมืองไหลรวม‘ภท.’
ปี่กลองสนั่น! กกต.เคาะวันเลือกตั้ง 8 ก.พ. 69 เปิดรับสมัคร สส. 27-31 ธ.ค.

