เฉ่งไทยเสียดุลมหาอำนาจ ทส.ไม่เห็นMOUแรร์เอิร์ธ

ญัตติด่วน "MOU แรร์เอิร์ธ" รุมสับรัฐบาลทำไทยเสียประโยชน์-ถูกดึงเข้าไปอยู่กลางเกมมหาอำนาจ เผย ขรก.กระทรวงทรัพย์ไม่เคยเห็นร่างข้อตกลงทั้งที่กระทบสิ่งแวดล้อม   “อนุทิน” หารือ ปธน.เกาหลีใต้ เดินหน้าการค้าเสรี คุยเปิดกว้างทุกภาคี เสริมสร้างกลไกทวิภาคี 

เมื่อวันที่ 30 ต.ค. เวลา 09.30 น.  (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองคยองจู ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2  ชั่วโมง) ณ โรงแรม Commodore Gyeongju เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย หารือทวิภาคีกับนายอัน แจ-ยง (Mr. Ahn Jaeyong) ประธานบริษัท SK bioscience Co., Ltd.

โดยนายกรัฐมนตรีของไทยกล่าวว่า ครั้งที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ.2565 ได้หารือเกี่ยวกับโครงการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่าง GPO และ NVI กับ SK bioscience ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายเสริมสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนของไทย ส่งเสริมการใช้วัคซีนที่ผลิตในประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์การพึ่งพาตนเองด้านวัคซีนของชาติ ยกระดับศักยภาพโรงงานผลิตวัคซีนขององค์การเภสัชกรรมไทย ส่งผลให้วัคซีนมีราคาเหมาะสมและประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ หากมีความร่วมมือระหว่าง GPO และ SK bioscience ไทยจะมีวัคซีนภายใน 100 วันหากเกิดภาวะระบาดใหม่ ด้วยราคาเหมาะสม

เวลา 15.40 น. ณ ห้องหารือทวิภาคี ศูนย์ประชุม Hwabaek International Convention (HICO) เมืองคยองจู นายอนุทินยังได้พบหารือทวิภาคีกับนายอี แจมยอง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ทั้งสองฝ่ายแสดงความยินดีที่ได้พบหารือกันเป็นครั้งแรก หลังจากที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้โทรศัพท์มาแสดงความยินดีในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  

ทั้งนี้ นายอนุทินได้กล่าวถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเสนอให้ทั้งสองประเทศตั้งเป้าหมายการค้าให้ถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  โดยมีเขตการค้าเสรี (FTA) เป็นเครื่องมือสำคัญ  และหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถสรุปประเด็นที่คั่งค้างได้โดยเร็ว พร้อมยืนยันว่าไทยจะให้การดูแลนักลงทุนเกาหลีใต้อย่างเต็มที่ ทั้งในโครงการของ Hyundai, COSMAX, KakaoBank ที่จะจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาในไทย และบริษัท Korea Land & Housing Corporation (LH) ที่จะตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกาหลีใต้แห่งแรกในไทย

 นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ว่า คนไทยนิยมวัฒนธรรมเกาหลี โดยเฉพาะ K-Pop อย่างกว้างขวาง จนเยาวชนไทยจำนวนมากสนใจเรียนภาษาเกาหลี และชื่นชมเกาหลีใต้ที่เป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านการผลิตคอนเทนต์ของโลก พร้อมระบุว่าจะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยศึกษาระบบนิเวศด้านอุตสาหกรรมคอนเทนต์ของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะการสนับสนุนสตาร์ทอัปและ SME ทั้งด้านทักษะและงบประมาณ พร้อมยืนยันว่าไทยจะสนับสนุนบทบาทของเกาหลีใต้ในฐานะประเทศคู่เจรจาของอาเซียน และประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-เกาหลีใต้ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียังได้ขอประธานาธิบดีพิจารณาเพิ่มจำนวนแรงงานถูกกฎหมาย รวมทั้งช่วยดูแลปัญหาที่คนไทยและนักท่องเที่ยวไทยถูกปฏิเสธการเข้าเมืองเมื่อเดินทางมาถึงเกาหลีแล้ว ส่งผลเกิดสูญเสียจ่ายในการเดินทางทั้งเงินและเวลาด้วย

เวลา 16.30 น. นายอนุทินได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจของเอเปกประจำปี 2568 (APEC CEO Summit 2025) ภายใต้หัวข้อ “Bridge. Business. Beyond.” ซึ่งเป็นหนึ่งในเวทีสำคัญระดับผู้นำเศรษฐกิจและภาคเอกชนของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยมีผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC นักธุรกิจชั้นนำ และองค์กรระหว่างประเทศเข้าร่วม โดยระบุว่า การประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจของเอเปกสะท้อนถึงพลังของความร่วมมือระดับภูมิภาคที่กำลังเกิดขึ้น ในยุคที่ระบบพหุภาคีกำลังอ่อนแรง ความร่วมมือในระดับภูมิภาคมีความสำคัญยิ่งในฐานะกลไกเชื่อมโยงประเทศต่างๆ และเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสร่วมกัน

สำหรับประเทศไทย ซึ่งกำลังก้าวผ่านจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์สำคัญ จากประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศรายได้สูง จากฐานการผลิตสู่ฐานนวัตกรรม และจากผู้มีส่วนร่วมในภูมิภาค สู่การเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงของภูมิภาค (Regional Connector) รัฐบาลมุ่งมั่นวางรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืน เพื่ออนาคตของประเทศ ผ่านแนวทาง “Quick Big Win” ซึ่งหัวข้อการประชุมในวันนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาล ซึ่งมุ่งเน้น 3 ด้านหลักคือ การเชื่อมช่องว่างทางเศรษฐกิจ การสร้างโอกาสทางธุรกิจ และการมองไปข้างหน้าให้ไกลกว่าเดิม เพื่อร่วมกันกำหนดอนาคตที่ต้องการ พร้อมย้ำว่าไทยเปิดกว้างและพร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคี เพื่อแปรเป้าหมายให้เป็นการลงมือปฏิบัติ โดยจะร่วมกันรักษาความเปิดกว้างของห่วงโซ่อุปทานโลก สนับสนุนระบบพหุภาคีที่ตั้งอยู่บนกติกา เพื่อสร้างความเป็นธรรม ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน

 ที่รัฐสภา นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เสนอญัตติด่วนต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ให้มีการพิจารณาผลกระทบจากกรณีที่นายอนุทินได้ไปลงนาม MOU กับสหรัฐ ซึ่งมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแรร์เอิร์ธหรือแร่หายากว่า จะทำให้เกิดปัญหา เพราะประเทศที่ครองตลาดในการทำเหมืองคือจีนที่มีสัดส่วนถึง 70% และหากเรื่องของการสกัดทำให้บริสุทธิ์ จีนก็ครองตลาดอยู่ถึง 90% ดังนั้นการที่รัฐบาลไปเซ็นสัญญากับสหรัฐโดยให้สหรัฐได้รับสิทธิพิเศษ หากมีการสำรวจหรือการลงทุนอะไรสหรัฐจะได้รับสิทธิ์เป็นประเทศแรก และจะได้รับการปฏิบัติที่เหนือกว่าประเทศอื่น ทำให้ไทยเสียเปรียบสหรัฐอย่างรุนแรง

"อีกทั้งยังกระทบกับจีน ซึ่งทำให้เราเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโดยไม่จำเป็น แม้ว่าขณะนี้ทางจีนยังไม่ได้แสดงท่าทีที่เด่นชัดมากในเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะว่าวันนี้ประธานาธิบดีจีนและสหรัฐจะมีการพบกัน จากนั้นคงจะมาดูว่าที่ไทยและสหรัฐไปลงนามกันจะดำเนินการอย่างไร เชื่อว่าคงจะมีการตอบโต้ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งทางทหารโดยทางอ้อม ซึ่งทำให้เราได้รับผลกระทบ"

นายจิตติพจน์กล่าวด้วยว่า จากประสบการณ์ของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาในการทำเหมือง แสดงให้เห็นชัดเจนถึงปัญหาสภาพแวดล้อมที่มีกัมมันตรังสี มีสารพิษตกค้าง ส่วนที่นายกฯ ระบุว่า MOU ไม่มีผลผูกพันนั้น จะต้องดูที่เนื้อหาหากในเนื้อหามีรายละเอียด มีเงื่อนไขที่ครบถ้วนสามารถผูกพันได้ตามสัญญา MOU นั้น ก็สามารถบังคับใช้ได้เช่นเดียวกันกับสนธิสัญญา และมองว่าภายหลังหากเห็นว่าไทยเสียเปรียบก็คงไม่สามารถยกเลิก MOU นี้ได้ และหากเทียบ MOU ระหว่างไทย-สหรัฐ กับสหรัฐ-มาเลเซีย จะเห็นชัดเจนว่าไทยเสียเปรียบมาก

นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส. เชียงใหม่ พรรคประชาชน กล่าวว่า ประเด็นที่ให้สิทธิพิเศษกับสหรัฐเป็นประเทศแรกนั้น รัฐมนตรีหลายคนระบุว่า แร่หายากในประเทศไทยไม่มีอยู่แล้ว เพราะไม่ได้มีการทำแร่ในประเทศไทย แต่หากเราพูดให้ชัดและเน้นย้ำให้ชัดเจนคือ รวมถึงแร่จากเมืองต่างประเทศที่นำเข้ามายังประเทศไทยด้วย เพราะฉะนั้นสหรัฐไม่ได้จะหาแร่เฉพาะในประเทศไทย แต่ยังต้องการเพิ่มโอกาสในการจัดการแร่สำคัญต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในประเทศไทยด้วย สิ่งที่ควรจะเพิ่มเนื้อหาในส่วนของผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมือง รัฐบาลควรดูตัวอย่างในภาคเหนือที่เจอกับปัญหาน้ำเป็นพิษจากการทำเหมืองในเมียนมา เพิ่งทราบมาจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่า ไม่มีข้าราชการระดับสูงในกระทรวงแม้แต่คนเดียวเห็นร่าง MOU ฉบับนี้เลย ไม่มีการส่งให้กระทรวงทรัพย์ให้ความเห็น ทั้งที่เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเต็มๆ

“ผมจึงอยากเสนอไปยังรัฐบาลว่า ขอให้เร่งจัดการกับกฎหมายภายในประเทศให้พร้อมออกกฎหมายลูก กฎกระทรวง ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แร่ ให้ผู้นำเข้าต้องระบุพิกัดของเหมือง ที่ทำแร่นั้นๆ และมาตรฐานรับรองด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนที่จะนำเข้าได้ และต้องออกกลไกในการตรวจสอบทั้งห่วงโซ่อุปทาน อีกทั้งควรมีการปรับแก้พิกัดศุลกากร ที่ขณะนี้เป็นพิกัดกลุ่ม และแรร์เอิร์ธมีหลายชนิดไม่ควรจำแนกเป็นกลุ่ม" นายภัทรพงษ์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง