ศาลฎีกานักการเมือง สั่งปรับ 1.2 แสน 'จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ' คดีรับตั๋วเครื่องบินอีสท์วอเตอร์

3 ก.ค.2566 - ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวงศาลอ่าน คำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.14/2565 หมายเลขแดงที่ อม.19/2566 ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีต รมว.มหาดไทย จำเลย

ยื่นฟ้องวันที่ 18 ส.ค. 2565โดยกล่าวหาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จาก บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) (บริษัทจัดการฯ) หรืออีสท์ วอเตอร์ ซึ่งมิใช่ญาติ โดยรับ ตั๋วโดยสารเครื่องบินเดินทางไปและกลับระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน อันอาจคำนวณเป็นเงินได้ จำนวน 39,300 บาท และรับตั๋วโดยสารเครื่องบินเดินทางไปและกลับระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย อันอาจคำนวณเป็นเงินได้จำนวน 20,780 บาท

ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีราคาเกินกว่าสามพันบาท อันมิใช่ทรัพย์สิน และประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย ทั้งมิใช่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาตามประกาศ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดย ธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ.2543 ข้อ 5 ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 103, 122 พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา4,128,169,194

จําเลยไม่มาศาล จึงพิจารณาคดีโดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจําเลย จําเลยแต่งตั้งทนายความมาดำเนินการแทน และให้การปฏิเสธ

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้ว เห็นว่า ทางไต่สวน นาย ช. กรรมการบริหารและการลงทุนบริษัทจัดการฯ ขณะเกิดเหตุ เบิกความขัดแย้งแตกต่างกันรับฟังไม่ได้แน่ชัดว่า จำเลย ทีมงานของจำเลย หรือบุตรชายของจำเลยเป็นผู้นำเงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินไปมอบให้พยาน ไม่อาจ รับฟังเป็นความจริงได้ ทั้งคำเบิกความยังขัดแย้งกับคำให้การจำเลยที่ว่าจำเลยให้ทีมงานของจำเลยไปจัดซื้อ ตั๋วโดยสารเครื่องบินด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ชำระเงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบิน หรือให้ทีมงาน ของจำเลยไปจัดซื้อ เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของการออกตั๋วโดยสารเครื่องบินและการชำระเงิน ได้ความว่า

กรรมการบริหารและการลงทุนบริษัทจัดการฯ เป็นผู้ดำเนินการออกตั๋วโดยสาร เครื่องบิน โดยให้บริษัท อ. และบริษัท ร. เป็นผู้จองและออกตั๋วโดยสารเครื่องบินแล้วเรียกเก็บเงินค่าตั๋วโดยสาร เครื่องบินจากบริษัทจัดการฯ ซึ่งต่อมาบริษัทจัดการฯ อนุมัติให้ชำระเงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินดังกล่าวจาก เงินค่ารับรองกรรมการ (ตั๋วเครื่องบินรับรองลูกค้าบริษัท) แล้ว พยานหลักฐานที่ไต่สวนจึงรับฟังเป็นความจริง ได้ว่า

บริษัทจัดการฯ เป็นผู้ชำระเงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบิน แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริษัทจัดการฯ ชำระเงิน ค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินหลังจากที่จำเลยใช้ตั๋วโดยสารเครื่องบินเดินทางก็ตาม แต่เหตุดังกล่าวเป็นผล สืบเนื่องมาจากการดำเนินการของบริษัทจัดการฯ ในการเบิกเงินค่ารับรองกรรมการเพื่อชำระเงินค่าตั๋วโดยสาร เครื่องบินเท่านั้น ส่วนที่บริษัท อ. และบริษัท ร. คืนเงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินให้แก่บริษัทจัดการฯ นั้น ก็เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทจัดการฯ ชำระเงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินแล้ว กรณีจึงไม่มีผลทำให้บริษัท จัดการฯ มิใช่เป็นผู้ที่ไม่ได้ชำระเงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบิน

เมื่อขณะเกิดเหตุจำเลยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทจัดการฯ และตามรายละเอียดแนวทางการใช้จ่ายค่า รับรองของคณะกรรมการบริษัท บริษัทจัดการฯ ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินค่ารับรองในนามคณะกรรมการบริษัท ให้จำเลยได้ ประกอบกับตามหนังสือของกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุในระบบสารบัญของ สำนักรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ไม่พบว่ามีการขออนุญาตเดินทางไปราชการต่างประเทศของจำเลย

ทำให้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้เดินทางไปราชการที่สาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศมาเลเซีย แต่เป็นการเดินทางไปส่วนตัวแล้ว ทั้งทางไต่สวนได้ความจากคำเบิกความของนาย ช. กรรมการบริหารและการ ลงทุนบริษัทจัดการฯ ขณะเกิดเหตุว่า บุตรชายของจำเลยให้ดูแลจำเลยในการเดินทางไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศมาเลเซีย กับเดินทางไปพร้อมจำเลยด้วย

จึงเชื่อว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าบริษัทจัดการฯ เป็นผู้ซื้อตั๋วโดยสารเครื่องบินให้จำเลยโดยกรรมการบริษัทเป็นผู้ขออนุมัติเบิกเงินจากเงินค่ารับรองกรรมการ ชำระเงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบิน และการที่จำเลยใช้ตั๋วโดยสารเครื่องบินเดินทางไปกลับ บ่งชี้ได้ว่าจำเลยมี เจตนารับตั๋วโดยสารเครื่องบินนั้น เมื่อตั๋วโดยสารเครื่องบินมีราคา เกินกว่า 3,000 บาท ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยรับตั๋วโดยสารเครื่องบินเดินทางไปกลับระหว่างกรุงเทพ - ปักกิ่ง และกรุงเทพ - กัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็น ประโยชน์อื่นใดซึ่งมีราคาหรือมูลค่าเกิน 3,000 บาท จากบริษัทจัดการฯ ซึ่งมิใช่ญาติ จึงเป็นความผิดตามฟ้อง

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 122 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้าง มากให้ลงโทษปรับกระทงละ 60,000 บาท รวม 2 กระทง เป็นปรับ 120,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระ ค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'รัดเกล้า' สวน บก.ลายจุด ผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ขึ้น ศาลฎีกาฯแผนกคดีอาญา หากถูกกล่าวหาทุจริต

ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในการปฏิบัติหน้าที่ จะไม่ขึ้นศาลอาญาทั่วไป แต่จะต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

'ทักษิณ' อยู่คุกคืนสองหลับปุ๋ยกินครบทุกมื้อ!

'ราชทัณฑ์' อาการนอนคุกคืนสอง 'ทักษิณ' นอนหลับสนิท ไม่เศร้าซึม ทานข้าวได้ครบมื้อ ไม่เครียด ส่วนการออกบริการงานสาธารณะเรือนจำด้านวิชาการ ต้องเขียนโครงการขออนุมัติก่อน เช่นกรณี 'เสก โลโซ'

ราชทัณฑ์วางมาตรการเข้มดูแลคุมขัง 'ทักษิณ'

'ราชทัณฑ์' วางมาตรการเข้มงวด ดูแลคุมขังความปลอดภัย 'ทักษิณ' ในเรือนจำกลางคลองเปรม 'ทนายวิญญัติ' เผยยังไม่มีกำหนดเข้าเยี่ยมทักษิณ พบรถตู้เบนซ์ครอบครัวชินวัตรโผล่เข้าเรือนจำฯ

'จตุพร' ยกหลักพุทธ กรรมดี-กรรมชั่ว นำมาหักล้างกันไม่ได้ แนะ 'ทักษิณ' รีบลืมอดีตปล่อยวางความแค้น

'จตุพร' ยกหลักศาสนาพุทธ กรรมดี-กรรมชั่วนำมาหักล้างกันไม่ได้ ชี้โลกยังไม่เคยมีผู้นำจิตวิญญาณต้องคดีทุจริตประพฤติมิชอบ หวังให้คำวินิฉัยศาลฎีกาฯ เป็นบทเรียนผู้นำวันนี้และในอนาคต แนะ'ทักษิณ' ติดคุกต้องรีบลืมอดีต ปล่อยวางความแค้น เชื่อคิดต่อสู้ยิ่งทำให้ชีวิตและจิตใจทุรนทุราย หวั่น ปปช.ป้อนคดีตัวการทำผิด พร้อมขยายผลเล่นงาน ขรก.ช่วยเหลือนับ 10-20 คน