ดร.ณัฏฐ์ มือกฎหมายมหาชนคนดัง ชี้ พฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง จะต้องเป็นมีผลระทบต่อระบอบการปกครองโดยตรงและทำลายสถาบันฯ ส่วน 6 ประเด็นที่ทนายธีรยุทธ ยื่นคำร้อง วืดเป้า
11 ต.ค.2567 - ที่รัฐสภา ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน กล่าวว่า ประเด็นที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ นายทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย หยุดใช้สิทธิในการล้มล้างการปกครองระอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ที่เปิดช่องให้ประชาชนยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
แต่มีเงื่อนไขบังคับก่อน คือ ผู้ร้องซึ่งทราบการกระทำ จะต้องยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้ ในกรณีอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอหรือไม่ดำเนินการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ยื่นคำร้อง ผู้ร้องขอจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้
ดร.ณัฐวุฒิ อธิบายว่าตนจะอธิบายและให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชนว่า โดยหลัก การยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยประชาชน รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้คู่ความตามมาตรา 212 และหากถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ ตามมาตรา 213 มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง หากเห็นว่า การกระทำนั้น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง
แต่กรณีของนายธีรยุทธ ทนายความ เป็นการใช้เทคนิคยื่นให้อัยการสูงสุด และรอระยะเวลา 15 วัน เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา ก่อให้เกิดเงื่อนไขเหตุแห่งการฟ้องคดีให้ผู้ร้องยื่นฟ้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตรงนี้เพื่อให้เกิดเงื่อนไขอำนาจฟ้องคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
ทั้งนี้ในทางปฎิบัติ ระยะเวลา 15 วันที่อัยการสูงสุดจะตั้งคณะทำงานและพิจารณากลั่นกรองให้รอบคอบว่า พฤติการณ์ดังกล่าว เป็นการล้มล้างการปกครองฯ หรือไม่ ระยะเวลา 15 วันนับแต่วันที่ยื่นคำร้อง ถือว่าเป็นระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป
ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่าองค์ประกอบระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ระบอบประชาธิปไตย กับสถาบันพระมหากษัตริย์
ประเด็นที่ นายธีรยุทธ ผู้ร้อง ข้อกล่าวหาว่ามีพฤติการณ์การกระทำที่เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการทำให้สถาบันฯ สูญเสียสถานะที่จะต้องอยู่เหนือการเมืองหรือดำรงความเป็นกลางทางการเมือง ย่อมเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ เป็นเหตุให้ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง
และลักษณะที่สอง มีการกระทำอันมีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง
หากพิจารณาถึงเหตุในการยื่นคำร้อง 6 ประเด็น ค้อนข้างมีน้ำหนักน้อย และไม่เข้าเป้า แตกต่างจากคดีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กับพรรคก้าวไกล ข้อกล่าวหารณรงค์หาเสียงแก้ไข มาตรา 112 ข้อเท็จจริงนั้น ชัดเจนมากกว่า เพราะกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยโตรง
เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยในคดีที่แกนนำม็อบสามนิ้ว ปราศรัยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตรงกันกับคำวินิจฉัยที่ 3/2567 ว่ามีพฤติการณ์ เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ฯลฯ
ดร.ณัฐวุฒิ ชี้ว่าใน 6 ประเด็นที่นายธีรยุทธ ร้องนั้น ตนมีความเห็นแตกต่างทางวิชาการ ควรจะร้องไปที่ กกต.ไต่สวนว่าเข้าเกณฑ์ยุบพรรคเพื่อไทยหรือไม่ แต่อาศัยช่องทางเดิมโดยนำคดีขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นสารตั้งต้นในการยุบพรรคเพื่อไทย ตาามพรป.พรรคการเมือง มาตรา 92 โมเดลเดียวกับการจัดการนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกล นำไปสู่ยุบพรรคก้าวไกลในที่สุด
นักกฎหมายมหาชนผู้นี้ กล่าวว่าหากพิจารณพฤติการณ์ยื่นคำร้องที่นำมาเปิดเผยแก่สื่อมวลชน เหมือนลักษณะฝ่ายผู้ร้องและผู้สนับสนุน เสียทรง เพราะถูกถีบไปเป็นฝ่ายค้านและถูกยึดโควต้ารัฐมนตรีหรือไม่อย่างไร เลยใช้ช่องกฎหมายนี้ จัดการกับนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เหมือนกับจองกฐิน
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจาก เลขาธิการพรรค บางพรรค แจ้งกำหนดการข่าว 7 โมงเช้า วันที่ 10 เดือน 10 สารตั้งต้นและล่มสลายของพรรครัฐบาลผสม หากไม่เชื่อมโยงกัน จะรู้ได้อย่างไร หากพิจารณาจากคำร้องพูดตรงๆ เป็นลักษณะเหวี่ยงแห กว้างเกินไป ไม่เข้าหลักเกณฑ์ล้มล้างการปกครองฯแต่อย่างไร
ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่าหากพิจารณาประเด็นที่ 1 การสั่งการระหว่าง นายทักษิณกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นนิติบุคคล เป็นเรื่องพิสูจน์ยาก ส่วนการย้ายที่คุมขังเพราะเหตุป่วย เป็นดุลพินิจของอธิบดีกรมราชทัณฑ์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าจะไปคุมขังนักโทษรักษาตัวในบริเวณใด ควรจะไปรักษา สถานที่ใด
ซึ่ง พรบ.ราชทัณฑ์ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้แล้ว ไปยุ่งเกี่ยวกับหน่วยงานเขาไม่ได้ ทำไมไม่ไปแก้ไขกฎหมายว่า หากรักษาตัวโรงพยบาลให้ระยะเวลาคุมขังสะดุดหยุดอยู่ แล้วไปกระทบต่อระบอบการปกครองตรงไหนหรือสถาบันกษัตริย์อย่างไร เซาะกร่อน บ่อนทำลายต้องกระทบสถาบันโดยตรง เช่น ลดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างไร
ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่าส่วนกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยในองค์กรไม่ผูกพันหน่วยงานใดของรัฐ หากเห็นว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เป็นเรื่องกระทำความผิดอาญา เป็นเพียงคำวินิจฉัยในองค์กร ไม่ใช่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่ผูกพันทุกองค์กรตามมาตรา 211 วรรคสี่
ส่วนประเด็นที่ 2 อ้างถึง ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับอดีตผู้นำกัมพูชาและไปโยงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ตรงนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับระบอบการปกครองฯและกระทบสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างไรเพราะดินแดน เป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ต้องใช้ความละเอียดอ่อน เป็นการชักศึกเข้าบ้าน หากพิจารณาตามรัฐธรรมนูญจะต้องเป็นความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 178 วรรคสอง
นักกฎหมายมหาชน กล่าวต่อว่าส่วนประเด็นที่ 3 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 256 บัญญัติให้แก้ไขได้ หากปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญและผ่านการจัดทำประชามติ เป็นกลไกกลรัฐสภา เป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติโดยตรง สามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน หากแก้ไขทั้งฉบับ ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ ให้จัดทำประชามติ 2 ครั้ง ว่าจะเห็นชอบหรือไม่ชอบ
ประเด็นที่ 4 การเข้าไปบ้านจันทร์ส่องหล้าอาจไม่เหมาะสมเพราะนายทักษิณ ยังมีสถานะเป็นนักโทษที่ได้รับการพักโทษ แต่ไม่มีผลอะไร การเลือกนายกรัฐมนตรี หัวหน้าฝ่ายบริหาร เป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ไม่มีผลกระทบต่อระบอบการปกครองหรือกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างไร
ส่วนประเด็นที่ 5 ที่ว่าพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการให้พรรคเพื่อไทยมีมติขับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ในมิติ ฝ่ายบริหาร จะจับขั้วกับพรรคการเมืองใด จะต้องพิจารณาถึงจำนวนเสียงและโควตารัฐมนตรี ใช้ระบบต่อรอง ที่เรียกว่า ผลประโยชน์ทางการเมือง พรรคการเมืองใดจะร่วมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสม ย่อมเป็นไปมติของพรรคการเมืองนั้น เป็นไปตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง แล้วมีผลกระทบต่อระบอบการปกครองแบบไหนอย่างไร และกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร เพราะประเพณีการปกกครองในระบบรัฐสภา เป็นแบบนี้ มาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475
ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่าประเด็นที่ 6 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ให้นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ซึ่งแสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อ 22 ส.ค. ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อ 12 ก.ย.นั้น
ตนมองว่าในประเด็นนี้ ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะการแถลงนโยบายรัฐบาล กรณีรัฐบาลผสม จะต้องนำนโยบายมาผสมผสานกัน เป็นไปตามมาตรา 162 แห่งรัฐธรรมนูญ การนำคำพูดของนายทักษิณ มาเป็นนโยบาย ต้องไปดูว่าตรงกับนโยบายที่หาเสียงเพื่อสร้างคะแนนนิยมหรือไม่ เป็นอำนาจของกกต.ไปควบคุมจัดการ
ทั้งนี้ส่วนในคำขอที่ให้เลิกการกระทำ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ทุกประการ
“ที่ตนออกมาพูดเพราะให้ความรู้กฎหมายมหาชนแก่ประชาชนแง่มุมหนึ่ง ไม่ได้เข้าข้างบุคคลใด เพราะไม่รู้จักทั้งสองฝ่าย แต่อยากดึงสติให้ประชาชนผู้ฝักใฝ่ในความรู้รัฐธรรมนูญว่า คำว่าล้มล้างการปกครอง มีขอบเขตเพียงใด และระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย มีองค์ประกอบอะไรบ้าง
ส่วนศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ เป็นดุลพินิจขององค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่ที่ผ่านมาตนออกมาให้ความเห็นตามหลักวิชาการ ไม่เคยผิดพลาด เป็นการให้ความรู้แก่ประชาชนและถูกใจคอการเมือง” ดร.ณัฐวุฒิ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
'ทักษิณ' ร่วมเวที 'เสก โลโซ' ร้องเพลงใจสั่งมา ในเรือนจำกลางคลองเปรม
"ทักษิณ" ขึ้นเวทีเรือนจำฯ ควงไมโครโฟนร้องเพลง "ใจสั่งมา" บรรยากาศอบอุ่นมวลความสุข เพื่อนผู้ต้องขังกว่า 1,000 คน ต่างลุกโชว์สเต็ปแด๊นซ์
🛑LIVE คิด - วิเคราะห์ - แยกแยะ!! ภาพร่วมเฟรม 'เจ้าพ่อสแกม' | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ :วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้
เพจดังงัดภาพใหม่กว่า ตบหน้าแฟนคลับพรรคแดง ขว้างงูไม่พ้นคอ ทักษิณก็รู้จัก 'เบน สมิธ'
จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังปรากฏภาพนายเบน สมิธ ถ่ายร่วมเฟรมกับบุคคลระดับสูงในแวดวงการเมืองไทย ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง


