เปิดทรัพย์สิน-หนี้สิน 2 อดีตบิ๊กองค์กรอิสระฐานะไม่ธรรมดา!

ป.ป.ช.เปิดทรัพย์สิน 'ธวัชชัย' หลังพ้น กกต. อู้ฟู่ 436 ล้านบาทไร้หนี้ แจ้งสลากออมสิน 49 ล้านบาท 'ทวีเกียรติ' มี 22 ล้านบาท ถือสิทธิหนังสือกฎหมาย และสะสมทองคำแท่ง 92 บาท

30 มี.ค.2566 - สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2 ราย คือ นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรณีพ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2565 และนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2566

โดยนายธวัชชัย พร้อมด้วยนางดนุชา เทอดเผ่าไทย แจ้งว่ามีทรัพย์สินทั้งสิ้น 436,412,852 บาท ไม่มีหนี้สิน แบ่งเป็นทรัพย์สินนายธวัชชัย 146,862,852 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 10,072,852 บาท ที่ดิน 21 แปลง 121,050,000 บาท ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ อ.เมือง และ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง, อ.คลองใหญ่ จ.ตราด, อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เป็นต้น ส่วนยานพาหนะ 5,040,000 บาท เป็นรถยนต์อีซูซุ 1 คัน รถยนต์เบนซ์ จีแอลซี 1 คัน ทรัพย์สินอื่น 10,700,000 บาท โดยเป็นพระเครื่องทั้งหมดรวม 43 องค์ ส่วนทรัพย์สินคู่สมรส 289,550,000 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 49,000,000 บาท ที่ดิน 11 แปลง 234,300,000 บาท ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ อ.เมือง อ.คลองใหญ่ จ.ตราด และ ยานพาหนะ 6,250,000 บาท เป็นรถยนต์ฮอนด้า 1 คัน รถยนต์เบนซ์ เอ็มแอล 1 คัน

ที่น่าสนใจคือนายธวัชชัย แจ้งว่า สลากออมสินของคู่สมรสมูลค่า 49,000,000 บาทนั้น เป็นสลากที่คู่สมรสถือครองแทนบิดามารดาคู่สมรส โดยใช้เงินฝากและสลากออมสินตามบัญชีทรัพย์สินที่แจ้งเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง กกต.ไปจัดซื้อ ซึ่งเงินตามบัญชีเงินฝากและสลากออมสินที่รายงานตอนเข้ารับตำแหน่ง แท้จริงแล้วคือเงินของบิดามารดาของคู่สมรส ที่ให้ถือครองแทน โดยสาเหตุที่แจ้งว่าเป็นทรัพย์สินของคู่สมรส เพราะได้บอกให้ภรรยาว่าถ้ามีเงินฝากหรือเงินที่ไปลงทุนที่เป็นชื่อของภรรยาให้รายงานบัญชีทรัพย์สินไปทั้งหมด โดยที่ภรรยาไม่ได้บอกให้ทราบว่าเงินตามบัญชีเงินฝากและสลากออมสินแท้จริงแล้วเป็นเงินของบิดามารดาหรือเงินกงสี ที่ให้ภรรยาตนเองถือครองแทน จึงได้รายงานบัญชีทรัพย์สินตอนเข้ารับตำแหน่ง กกต. โดยไม่ได้มีหมายเหตุอธิบายให้เข้าใจ เป็นเพราะความเข้าใจผิดของตนเอง และไม่ได้สอบถามรายละเอียด

อย่างไรก็ตาม นายธวัชชัย แจ้งว่ามีรายได้ต่อปี 2,913,157 บาท แบ่งเป็นเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง 2,753,157 บาท เบี้ยประชุม 160,000 บาท โดยมีรายจ่ายต่อปี 1,200,000 บาท ส่วนคู่สมรสไม่แจ้งรายได้ แต่แจ้งรายจ่ายต่อปี 1,200,000 บาท นอกจากนั้นนายธวัชชัยยังแจ้งว่า เคยดำรงตำแหน่งกรรมการอื่นในคณะกรรมการสังกัดองค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย เมื่อปี 2559 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง กกต. ในปี 2561 ขณะที่คู่สมรสไม่ได้แจ้งว่ามีตำแหน่งในหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ หรือหน่วยงานเอกชนแต่อย่างใด

ด้านนายทวีเกียรติ พร้อมนางรจนากร มีนะกนิษฐ คู่สมรส มีทรัพย์สินทั้งสิน 22,762,254 บาท หนี้สิน 1,467,882 บาท โดยแบ่งเป็นทรัพย์สินของ นายทวีเกียรติ 11,798,528 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 788,128 บาท เงินลงทุน 3,950,500 บาท ที่ดิน 1 แปลง 2,500,000 บาท ในพื้นที่ อ.เมือง จ.นครนายก ส่วนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 1 รายการ 1,500,000 บาท เป็นห้องชุด ย่าน อ.เมือง จ.นนทบุรี ยานพาหนะ 300,000 บาท และทรัพย์สินอื่น 2,760,000 บาท โดยเป็นทองคำแท่งน้ำหนัก 92 บาท นอกจากนั้นยังแจ้งว่ามีสิทธิและสัมปทาน(หนังสือ) ประมวลกฎหมายอาญา ฉบับอ้างอิง, สังคมกับกฎหมาย, คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาคทั่วไป, คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาคความผิดและลหุโทษ ซึ่งไม่ได้แจ้งมูลค่า ส่วนหนี้สิน ซึ่งแจ้งว่าเป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 1,467,882 บาท ส่วนทรัพย์สินคู่สมรส 10,963,626 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 1,169,856 บาท เงินลงทุน 953,760 บาท ที่ดิน 1 แปลง 4,400,000 บาท ในพื้นที่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ส่วนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2 รายการ 3,550,000 บาท เป็นห้องชุด ในย่าน อ.เมือง จ.นนทบุรี ยานพาหนะ 890,000 บาท

อย่างไรก็ตาม นายทวีเกียรติ แจ้งว่ามีรายได้ต่อปี 2,994,606 บาท แบ่งเป็น เงินเดือน 983,040 บาท เงินประจำตำแหน่ง ค่ารับรอง 1,200,000 บาท เงินบำนาญ 465,966 บาท และเงินค่าลิขสิทธิ์ 345,600 บาท โดยมีรายจ่ายต่อปี 920,000 บาท ส่วนคู่สมรส แจ้งว่าเป็นข้าราชการบำนาญ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีรายได้ต่อปี 530,439 บาท เป็นเงินบำนาญทั้งหมด มีรายจ่ายต่อปี 430,000 บาท

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด

กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก

กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ

กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้ 

กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444

ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต

ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)