เปิดเรื่องราวที่พวกโหน 6 ตุลาฯไม่ยอมพูดถึง 'คอมมิวนิสต์ล้อมฆ่าลูกเสือชาวบ้านที่เคียนซา'

4 ต.ค.2567- เพจ ฤๅ - Lue History เพยแพร่ บทความโดย ส. มีชัย มีใจความว่า
‘เราอดทนถึงที่สุด… ก็สุดทน’
: การล้อมฆ่าลูกเสือชาวบ้านของกองทัพคอมมิวนิสต์ไทยกับฟางเส้นสุดท้ายของมวชนฝ่ายกลาง
เรื่องราวที่พวกโหน 6 ตุลาฯไม่ยอมพูดถึง
บทความโดย ส.มีชัย
เป็นที่ทราบกันดีว่า ‘ลูกเสือชาวบ้าน หรือ กิจการลูกเสือชาวบ้าน’ จัดตั้งครั้งแรก 2514 ณ หมู่บ้านเหล่ากอหก ตำบลแสงพา อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ภายใต้การอำนวยความสะดวกของตำรวจตระเวรชายแดนเขต 4 ในเวลานั้น สำหรับจุดมุ่งหมายของการจัดตั้งลูกเสือชาวบ้านนั้น เอกสารชั้นต้นชิ้นหนึ่งระบุไว้อย่างชุดเจนว่า
‘ [เพื่อ] ผนึกกำลังกันสร้างสรรค์ความสามัคคี ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะในหมู่ช้าราชการ พ่อค้า ประชาชน เป็นการตัดช่องว่างของความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันในวงสังคมให้ลดน้อยลงและหมดไปในที่สุด’
ดังนั้น จุดประสงค์ของการจัดตั้งลูกเสือชาวบ้านจึงหาได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองแต่อย่างใด เพราะเป็นการจัดตั้งตามลักษณะองค์การที่นิยมลัทธิปกป้องบ้านเกิดเมืองนอน (Patriotism) สร้างความเข้าใจให้แก่คนในชาติ เสมือนกลไกช่วย ‘ส่งเสริม’ การทำงานของระบบราชการของรัฐบาลที่เทอะทะและอุ้ยอ้ายอีกทั้งยังถูกพันธนาการด้วยระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก
องค์การนี้จึงเป็นกลไกของฝ่ายพลเรือน (ตามแนวทางเอาชนะการก่อการร้ายแบบ พตท. - พลเรือนตำรวจทหาร) ที่จะช่วยฝ่ายตำรวจและทหารปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนจากภัยคอมมิวนิสต์ และที่สำคัญ ลูกเสือชาวบ้านคือลูกเสือจริง ๆ กล่าวคือ หาใช่องค์กรมวลชนจัดตั้งติดอาวุธเหมือนพวกทหารป่า-ทหารบ้าน ของพวกฝ่ายซ้าย-คอมมิวนิสต์แต่อย่างใด
ภายหลังจากการจัดอบรมลูกเสือชาวบ้านในพื้นที่ภาคอีสานเป็นจำนวนหลายรุ่นแล้ว ในที่สุด ความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ก็เกิดขึ้น เมื่อ พล.ต.ต.เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ได้นำความทูลเกล้าถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2515 ณ จังหวัดอุดรธานี และทรงรับกิจการลูกเสือชาวบ้านไว้ในพระบรมราชูถัมภ์นับแต่นั้นมา และนับตั้งแต่นั้น เอกสารชิ้นเดียวกันได้ระบุถึงความสำเร็จของกิจการลูกเสือชาวบ้านไว้ว่า
‘ด้วยเหตุนี้กิจการลูกเสือชาวบ้านจึงแผ่ขยายเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ปกคลุมไปทั่วตารางนิ้วของผืนแผ่นดินไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานหลักปฏิบัติของลูกเสือชาวบ้าน 3 ประการ คือ
1. ไม่ต้องการให้ลูกเสือชาวบ้านเกี่ยวข้องกับการเมือง
2. กิจการลูกเสือชาวบ้านควรให้ประชาชนควบคุมกันเอง ทางราชการเป็นเพียงผู้เสนอแนะ ช่วยเหลือหรือทักท้วงเมื่อเห็นปฏิบัติไม่ตรงเป้าหมาย
3. ไม่มีพระราชประสงค์ให้มีเครื่องแบบให้สิ้นเปลืองและต่างกับประชาชนทั่วไป นอกจากมีสัญลักษณ์ผ้าพันคอและวอกเกิ้ลและหน้าเสือเพียง 3 ประการเท่านั้น’
นอกจากนี้ ควรบันทึกไว้ด้วยว่า จากจำนวนเพลงฉบับทางการที่แจกจ่ายกันในหมู่ลูกเสือชาวบ้านนั้น มีจำนวนอยู่ถึง 138 – 149 เพลง ในจำนวนนี้มีอยู่ไม่กี่สิบเพลงเท่านั้นที่มีเนื้อหาทำนองชาตินิยมหรือที่เกี่ยวข้องกับการปลุกใจ (ส่วนมากเป็นเพลงเก่าสมัยรัฐนิยม)
จึงกล่าวได้ว่า กิจการลูกเสือชาวบ้าน คือลูกเสือของ ‘ผู้ใหญ่’ ที่ไม่ได้แตกต่างกับลูกเสือเด็กแต่อย่างใด
น่าสังเกตว่าในชั้นหลังมานี้มีงานวิชาการที่ผู้เขียนมีพื้นเพเป็นอดีตนักศึกษาหรือรุ่นหลังที่เป็นพวกเห็นนอกเห็นใจขบวนการ 6 ตุลาฯ ได้โจมตีแปะป้ายว่าลูกเสือชาวบ้านเป็น ‘จัดตั้งพวกฝ่ายขวา’ การใส่ร้ายเช่นนี้เป็นวาทกรรมประดิษฐ์ใหม่และบิดเบือนประวัติศาสตร์อย่างเกินจริง
เพราะหลักฐานชั้นต้นร่วมสมัยชี้ชัดว่า ลูกเสือชาวบ้านคือ ‘ฝ่ายกลาง’ และหากย้อนเวลากลับไปในช่วงที่การต่อสู้ทางการเมืองนับตั้งแต่หลังปี 2516 เริ่มแหลมคมมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการโหมกระพือและการจัดตั้งมวลชนของพรรคคอมมิวนิสต์และฝ่ายซ้าย ทำให้พวกฝ่ายขวา-อนุรักษ์นิยมในไทยจึงเริ่มจัดตั้งมวลชนขับสู้เข้าบ้าง
(จนถึงเวลานี้มีงานวิชาการยอมรับกันว่า การจัดตั้งมวลชนแข่งขันกันนั้นเริ่มมาจากฝ่ายซ้ายก่อน ทั้งในหมู่นิสิต นักศึกษา กรรมาชีพ ชาวนา นักเขียน และในชนบท ส่วนฝ่ายขวาได้กระทำตามหลังฝ่ายซ้ายหลายปี จนมาทันกันในช่วงประมาณปี 2518 แต่ถึงกระนั้นจำนวนของจัดตั้งฝ่ายขวากลับมีจำนวนน้อยมาก ไม่ค่อยมีเอกภาพ และมีข้อมูลน้อยมากเช่นกัน)
ในจำนวนของมวลชนฝ่ายขวาเด่น ๆ นั้น กระทิงแดง และนวพล (ดูเหมือนอันหลังจะเป็นองค์การจัดตั้งเฉพาะกิจมากกว่าจะมีตัวองค์การจริง ๆ) ถือว่าเป็นพวกฝ่ายขวาที่มีกำลังมากที่สุด และชัดเจนว่าตั้งขึ้นเพื่อเป้าประสงค์ที่จะ ‘ยัน’ กับมวลชนฝ่ายซ้ายที่ขยายตัวขึ้นทุกที ๆ และมีการเคลื่อนไหวที่สนับสนุนคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจนทุกเมื่อเชื่อวัน (กระทั่งว่าสามารถจัด ‘นิทรรศการจีนแดง’ ที่มีเนื้อหาโน้มน้าวให้ประชาชนศรัทธาลัทธิคอมมิวนิสต์ขึ้นกลางพระนคร ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้)
แน่นอนว่าทุกการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายย่อมไม่คลาดไปจากสายตาของพวกฝ่ายขวาได้ และเป็นที่ชัดเจนว่า ก่อนหน้าปี 2519 ไม่นาน
ยิ่ง ‘ฝ่ายซ้ายแรงขึ้นเท่าไหร่ ฝ่ายขวาก็ยิ่งขยายใหญ่โต’ ขึ้นเท่านั้น
ผนวกกับช่วง 2518 ที่บรรดาประเทศรอบบ้านของไทยทั้งลาว เวียดนาม เขมร เริ่มตกเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ผลจาก ‘ทฤษฎีโดมิโน่’ ดังกล่าวได้กระทบกระเทือนสภาพจิตใจคนไทยอย่างมาก
โดยเฉพาะกรณีการล้มสถาบันกษัตริย์ลาว (ในช่วงนี้ลาวแดงได้เข้ามาแพร่หนังสือชวนเชื่อลัทธิคอมมิวนิสต์ในไทย อีกทั้งมีแผนจะยึด 16 จังหวัดอีสานอีกด้วย) ผสมรวมกับข่าวการถอนกำลังกลับของอเมริกาจากพื้นที่อินโดจีน (และไทย) จากกระแสการเมืองทั้งภายในและภายนอกที่ผันผวนรุนแรงและเป็นคุณแก่ฝ่ายซ้าย (คอมมิวนิสต์) เช่นนี้เอง
จึงไม่แปลกใจว่าจะสร้างความวิตกแก่พวกฝ่ายขวาและฝ่ายกลางจนกระทั่งฝ่ายหลังสามารถตั้งตัวติด ซึ่งนี่ทำให้มวลชนฝ่ายขวาขยายใหญ่โตลุกลามจนนำไปสู่ ‘ขวาพิฆาตซ้าย’ ในที่สุด และนำไปสู่จุดจบของมวลชนจัดตั้งฝ่ายซ้ายในเขตเมืองขนานใหญ่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
หากมองผ่านสเปคตรัมทางการเมืองแล้ว ‘ลูกเสือชาวบ้าน’ คือ ‘ฝ่ายกลาง’ เพราะแวดล้อมไปด้วยบุคคลในและนอกระบบราชการเป็นพื้น รวมถึงผู้นำชุมชนและชาวบ้านทั่วไปที่สนับสนับสนุนระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นหลัก
งานหลักของลูกเสือชาวบ้านนั้นมิใช่มวลชนจัดตั้งที่ถืออาวุธ (แม้จะมีข้าราชการบางคนเป็นลูกเสือด้วย) แต่เป็นในลักษณะ ‘การถ่ายทอดและบ่มเพาะอุดมการณ์ของรัฐ’ (ตามคำของ Louis Althusser นักมาร์กซิสฝรั่งเศสชื่อดัง) ผ่านกิจกรรมเข้าค่ายและอาสาในพื้นที่ชนบทแบบลูกเสือทั่วไปเท่านั้น
หากแต่จุดเปลี่ยนอันสำคัญ ที่ทำให้ลูกเสือชาวบ้านทั้งประเทศ ซึ่งจากเดิมยกเว้นไม่ข้องเกี่ยวกับการเมืองและพวกฝ่ายขวา ได้ตัดสินใจเป็นปฏิปักษ์กับพวกฝ่ายซ้ายอย่างเด็ดขาด คือเหตุการณ์ที่เรียกว่า
‘การล้อมฆ่าลูกเสือชาวบ้านที่เคียนซา’
อันเป็นเหตุการณ์ที่วิทยากรลูกเสือชาวบ้านจากอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ถูกซุ่มยิงจากกองกำลังคอมมิวนิสต์ ที่บ้านกระชุม หมู่ที่ 3 ตำบลพ่วงพรหมคร อำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2518 หลังจากที่เสร็จสิ้นการบรรยายและฝึกอบรมลูกเสือชาวบ้าน เมื่อขบวนรถกำลังเคลื่อนที่กลับนั้น ก็โดนซุ่มยิงทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในเครื่องแบบลูกเสือจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งตะโกนกำลังอย่างดังขณะสาดกระสุนใส่รถ ว่า
‘ฆ่ามัน.. ฆ่ามัน..!’
หลังจากโจมตีเสร็จแล้ว กองกำลังคอมมิวนิสต์ได้จัดการเผาทุกคันทิ้งเพื่อมิให้มีการนำผู้บาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาล
กล่าวได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่อำมหิตเป็นอันมาก
เหตุการณ์ล้อมฆ่าครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 3 คน ได้แก่ พลตำรวจสมัครเยื้อง คงจ้อย (ถูกยิงตกจากรถเสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ) พลตำรวจสำรองพิเศษบรรจบ เข็มขาว (เสียชีวิตที่โรงพยาบาล) และนางยุพา ลดารัตน์ (เสียชีวิตที่โรงพยาบาล) นอกจากผู้เสียชีวิตแล้ว เหตุการณ์นี้ได้สร้างความเสียหายให้แก่มวลชนฝ่ายกลางและเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก เพราะมีผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บถึง 22 คน
มีเกร็ดของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า ขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์กำลังยิงรถของลูกเสือชาวบ้านนั้น นางยุพา (หนึ่งในผู้เสียชีวิต) แม้นว่าจะโดนกระสุนเข้าที่ตัวแล้ว ก็พยายามตะโกนร้องขอชีวิตอย่างดังว่า
‘ฆ่าฉันทำไม ฉันเป็นลูกเสือชาวบ้าน วิทยากรพวกนี้ไม่มีอาวุธมาเลย เราไปอบรมลูกเสือชาวบ้านเพื่อความรักความสามัคคีในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราไม่ได้อบรมที่จะเตรียมไปทำร้ายพวกท่านเลย’
กระนั้น เพชรฆาตแดงก็หาได้สนใจคำร้องขอนี้แต่อย่างใด ต่อมา นางยุพา (เป็นแม่ลูก 3 และลูกยังเล็กอยู่ด้วย) ต้องคมกระสุนเสียเลือดมากและไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล (เพราะรถโดนเผา)
การเสียสละของประชาชนชาวบ้านธรรมดาคนนี้ ต่อมาในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมลูกเสือชาวบ้านที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2518 (ไม่กี่วันหลังจากเกิดเหตุการณ์)
อีกทั้งยังพระราชทานพระราชทรัพย์ให้แก่โรงพยาบาลและเงินช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตอีกด้วย
และเหตุการณ์ ‘การล้อมฆ่าลูกเสือชาวบ้านที่เคียนซา’ เมื่อปี 2518 นี่เอง ที่กลายมาเป็นเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนใจแก่คนไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าจะฝ่ายกลางหรือฝ่ายขวา เพราะเป็นการล้อมฆ่าคนบริสุทธิ์ไร้อาวุธอย่างเลือดเย็น และเป็นเสมือนการประการสงครามกับกับ ‘ลูกเสือชาวบ้าน’ ของพวกฝ่ายซ้ายและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
นี่จึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดเหตุการณ์จลาจลเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จึงมีพวกลูกเสือชาวบ้านจำนวนหนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เรื่องนี้ตอบไม่ยากเลย ก็เป็นเพราะพวกฝ่ายซ้ายนั่นเองที่ไปเล่นงานพวกเขาก่อน เป็นความเขลาปัญญาอย่างมากที่ดันให้พวกมวลชนฝ่ายกลาง (ที่มีจำนวนมากกว่า) หันไปร่วมมือกับพวกฝ่ายขวา ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจึงไม่แปลกที่จะมีการคิดเคียดแค้นแทนผู้ที่สูญเสียไป (อันที่จริงน่าจะยังมีลูกเสือชาวบ้านอีกมากที่โดนฆ่าและทำร้ายจากพวกฝ่ายซ้ายในพื้นที่ชนบทแต่ไม่เป็นข่าวดัง)
เมื่อย้อนกลับมาอ่านงานเกี่ยวกับ 6 ตุลา ที่เขียนกันอย่างดาด ๆ ของพวกนักวิชาการฝ่ายเดียว อาทิ การกล่าวว่า ลูกเสือชาวบ้านเป็นพวกฝ่ายขวาบ้างเล่า หรือกระทั่งสุดโต่งไปว่าลูกเสือชาวบ้านคือขุมกำลังของเบื้องสูงที่จัดตั้งมาปราบปรามนักศึกษา 6 ตุลา 2519 ผู้เขียนอ่านบทความของ ‘นักวิชาการแก็งค์นี้’ แล้วเป็นอดขำไม่ได้
มีอย่างที่ไหนที่ใครจะไปรู้เรื่องล่วงหน้าถึง 4-5 ปี ว่ามวลชนที่จัดตั้งขึ้นจะสามารถถูกนำไปใช้ประโยชน์ในเหตุการณ์ใด ๆ ได้ อีกทั้งชัดเจนว่า ลูกเสือชาวบ้านก็ถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นกลาง และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง การกล่าวหาเบื้องต้นจึงเป็นการใส่ร้ายอย่างฉกรรจ์ มองข้ามพัฒนาการความรุนแรงที่พวกฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาเร่งสร้างกันมาเอง จนกระทั่งทำให้เหลือตัวเลือกแค่ 2 ทาง คือ ‘ไม่ซ้าย ก็ขวา’
มีผู้เย้ยหยั่นต่อไปอีกด้วยว่า
‘จริงอยู่ที่คอมมิวนิสต์ไปฆ่าลูกเสือชาวบ้านจริง
แต่มันถูกต้องแล้วหรือที่ลูกเสือชาวบ้านไปทำร้ายนักศึกษาเป็นการตอบแทน ?’
ต่อคำถามนี้ ผู้เขียนก็อยากจะทบทวนความทรงจำว่า
ใช่หรือไม่ว่านักศึกษา 6 ตุลา ถ้าไม่เป็นคอมมิวนิสต์ก็เอียงไปทางคอมมิวนิสต์ทั้งนั้น ?
ใช่หรือไม่ว่าในเวลานั้น นักศึกษา (แดง) ก็สนับสนุนการปลดปล่อยประเทศด้วยการให้กองทัพคอมมิวนิสต์ (ทปท.) ด้วย ? แล้วมันจะต่างอะไรเล่ากับการสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงต่อชาวบ้าน ประชาชน เจ้าหน้าที่คนไทยด้วยกันเอง ?
ที่เขียนมานี้ ผู้เขียนมิได้สนับสนุนความรุนแรงที่เกิดขึ้นในวันนั้น (6 ตุลา) แต่พวกเราเองก็ควรจะยอมรับกันได้แล้วว่า ในเวลานั้น ‘ในใจลึก ๆ ’ ของเราต้องการอะไร (ใช่ ‘อีกไม่นานจะเอาธงแดงปักกลางนคร’ ไหม ?)
เพราะถ้าจะเอาแต่โทษและกล่าวลูกเสือชาวบ้านว่าโหดร้ายทารุณกับเราวันนั้น
แล้วการที่ฝ่ายซ้ายอย่างเรากระทำต่อพวกเขาในเขตชนบทนั่นเล่า อ้ายแบบนั้นเรียกว่าอะไรหนอ
วานปัญชาชนวานบอกทีเถิดหนา !!
อ้างอิง
1 สุเทพ สุขสงวน (บรรณาธิการ). 23 ปี ลูกเสือชาวบ้านในพระบรมราชานุเคราะห์. ศูนย์ปฏิบัติการลูกเสือชาวบ้าน.
2 ‘วิทยุสาร’ กรมประชาสัมพันธ์ ฉบับวันที่ 12 กันยายน 2518.
3 นันทเดช เมฆสวัสดิ์. ผ่านฟ้าลีลาศ. ภาคีสยามวิวัฒน์.
4 หนังสือ ‘ลูกเสือชาวบ้าน’ (เอกสารชั้นต้น).

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

83 ปี พคท. กับบทเรียนของสังคมไทย:สังคมนิยมอัตลักษณ์ไทยทางออกของสังคมไทย

วันที่ 1 ธันวาคม 2568 วาระครบรอบ 83 ปี การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้หวนกลับมาอยู่ในพื้นที่สนทนาอีกครั้ง

ไม่มีเหยื่อที่บริสุทธิ์ 'นักเขียนซีไรท์' ย้อนเหตุการณ์6ตุลาฯ จบแล้ว แต่นำมาปั่นหัวคนรุ่นปัจจุบันต่อ

วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า "ไม่มีเหยื่อที่บริสุทธิ์"

'สมศักดิ์ เจียมฯ' สารภาพพูดจริง ก่อน 6 ตุลาฯเราฆ่า 'กระทิงแดง' หลัง6ตุลาฯ ฆ่าแกนนำชาวนา

'สมศักดิ์ เจียม' สารภาพพูดจริง ก่อน 6 ตุลาฯไม่นาน เราฆ่า 'กระทิงแดง' เอาตัวตัวถ่วงน้ำเจ้าพระยาโดยผ่าศพแล้วจับก่อนหินใส่ให้หนัก เพราะเป็นสปายมาสืบ หลัง6ตุลาฯ ลงมติฆ่าอดีตปธ.สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ ใม่พอใจจะหนีกลับลงมา รับไม่มีอะไรที่สดใส ซื่อบริสุทธ์ทุกเรื่อง

คนเดือนตุลาฯสะดุ้ง! 'หัวโต' แฉเอง สหายเคยฆ่ากลุ่มกระทิงแดง-อดีตแกนนำชาวนา

นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตแกนนำนักศึกษายุค 6 ตุลาฯ2519 ที่มีชื่อเรียกเล่นกันว่า “หัวโต” อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งหลบหนีคดี 112 และได้รับสถานะผู้ลี้ภัยที่ประเทศฝรั่งเศส โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' สะท้อนความรู้สึก 'ทหารเก่า' ทำไมต้องต่อต้าน 'สหายใหญ่' เป็นรมว.กห.

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ จิตสำนึก มีเนื้อหาดังนี้