'อดีต สว.คำนูณ' ย้อนอดีตคนขายชาติ-สายลับต่างชาติในช่วงวิกฤตสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

19 มิ.ย.2568 - นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “คนขายชาติ สายลับต่างชาติ ในช่วงวิกฤตสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา!” ระบุว่า คนขายชาติและสายลับมีอยู่จริงในช่วงวิกฤตความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เพียงแค่วาทกรรม หรือการกล่าวหากัน หากแต่เป็นความเสียหายใหญ่หลวงของชาติครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

เป็นบทเรียนในโรงเรียนการข่าวกรองของไทยที่เจ้าหน้าที่บรรจุใหม่ต้องเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคสนาม

เหตุเกิดระหว่างปี 2501 - 2508 โน่น

ช่วงที่เขียนเรื่องไทย-กัมพูชารัว ๆ ตั้งแต่ต้นเดือน ผมได้รับทราบเรื่องนี้จากเพื่อนรุ่นพี่ธรรมศาสตร์ที่ทำกิจกรรมนักศึกษาร่วมกันช่วงปี 2516 ท่านจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยผ่านการเรียนคอร์สนี้ในช่วงต้นการเข้ารับราชการใหม่ ๆ ขอให้ช่วยค้นคว้าตามต่อดูหน่อย เผื่อจะเป็นประโยชน์เป็นบทเรียนแก่คนไทยทั่วไป ผมจึงสอบถามไปยังผู้ใหญ่บางท่าน ได้รับคำยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง

ท่านภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ก็เคยเขียนเล่าเรื่องนี้ไว้ในหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กของท่านเรื่อง “ไล่ล่าจารชน“ หลายปีมาแล้ว

หนังสือเล่าเรื่องสายลับหรือจารชนได้สนุกมากครับ

ในยุคนั้น ประเทศไทยโดยตำรวจสันติบาลและเจ้าหน้าที่กรมประมวลข่าวกลาง (ปัจจุบันคือสำนักข่าวกรองแห่งชาติ) ดำเนินการจับกุมสายลับหรือจารชนล็อตใหญ่ ซึ่งมีทั้งคนเขมร คนไทย และคนฝรั่งเศส คนเหล่านี่มีทั้งที่ทำงานในทำเนียบรัฐบาล ในกระทรวงมหาดไทย ใน ตชด. มีตัวตนชื่อเสียงเรียงนามชัดเจน

เครือข่ายสายลับทำงานต่อเนื่องกันหลายปี น่าสนใจคือคนฝรั่งเศส !

วิธีการจารกรรมข้อมูลก็คือเมื่อส่วนราชการหนึ่งต้องส่งเอกสารลับไปยังอีกส่วนราชการหนึ่ง เช่น จากมหาดไทยไปทำเนียบหรือกระทรวงการต่างประเทศ หรือจากตำรวจไปมหาดไทย รวมทั้งสำเนาโทรเลขจากกรุงเทพฯไปยังสถานทูตไทยในประเทศต่าง ๆ สายลับที่เป็นหน้าที่นำสารแทนที่จะนำส่งทันที ก็นำไปมอบให้ชาวฝรั่งเศสคนสำคัญคนนั้นที่สวนลุมพินีบ้าง ที่ใกล้สถานทูตฝรั่งเศสบ้าง แล้งรอคอยรับกลับ คนฝรั่งเศสก็จะนำซองเอกสารลับไปเปิดที่ห้องพิเศษละแวกสถานทูตฝรั่งเศส ถ่ายสำเนาไว้ แล้วรีบส่งคืนสายลับ ผู้รับปลายทางจะไม่รู้เลยว่าข้อมูลลับเหล่านั้นหลุดออกไปกลางทางแล้ว ทำกันอย่างนี้เป็นปกติวิสัยอยู่หลายปี

จากการตรวจสอบในภายหลังประเมินกันว่าเอกสารลับหลุดออกไปตกอยู่ในมือคนฝรั่งเศสไม่ต่ำกว่า 576 ฉบับ
นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของไทย

เอกสารส่วนหนึ่งเป็นท่าทีของไทยในการต่อสู่คดีปราสาทพระวิหารบนศาลโลก ICJ จนผู้ใหญ่บางท่านเชื่อว่านี่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ไทยแพ้คดีปราสาทพระวิหารบนศาล ICJ เมื่อ 63 ปี 4 วันที่ผ่านมา

ไทยดำเนินการตามหลักนิติธรรม จับกุม สอบสวนชั้นตำรวจ อัยการส่งฟ้องศาล มีคำพิพากษาศาลถึงที่สุดให้จำคุก

สายลับคนหนึ่งสารภาพว่าได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 10,000 บาท ถือเป็นเงินมากโขอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับว่าสมัยนั้นข้าราชการแรกบรรจุเงินเดือน 450 บาท ถัาจบปริญญาตรีได้เพิ่มเป็น 900 บาท นั่นเป็นอดีตกาลนานมาพอสมควร ไม่ใช่ปัจจุบัน !

ท่านภุมรัตน ทักษาดิพงศ์เขียนไว้ในหนังสือของท่านปิดท้ายเรื่องนี้ว่า… “หลัง ๆ นี้ประเทศคู่ความไม่จำเป็นต้องสร้างจารชน (secret agents) แล้ว เพราะน่าจะมีสายลับอิทธิพล (Agent of Influence) ซึ่งอาจจะเป็นคนมีตำแหน่งใหญ่โต เป็นผู้มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายที่แอบไปตกลงแลกผลประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่รู้ก็ได้“

“สำหรับจารชนที่ขายชาติในครั้งนั้น ถูกจับกุมดำเนินคดีไปแล้ว แต่ไม่คุ้มกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นเลย“

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง