ทรัมป์ประกาศลดราคาขายยา โจมตียุโรป

โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศนโยบายลดราคาขายยาในประเทศเพื่อให้เท่ากับราคาในต่างประเทศ โดยกล่าวหาสหภาพยุโรปว่าบีบบังคับให้ชาวอเมริกันจำเป็นต้องซื้อยาในราคาแพง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวร่วมกับเมห์เมต ออซ (ซ้าย) ผู้บริหารโครงการเมดิแคร์และเมดิเคด และมาร์ติน มาการี (ขวา) กรรมาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (เอฟดีเอ) ในระหว่างการแถลงข่าวเกี่ยวกับราคาของยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์ ในห้องรูสเวลต์ของทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม (Photo by Jim WATSON / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2568 กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯลงนามคำสั่งบริหารฉบับใหม่ที่ประกาศลดราคาขายยาในประเทศให้เท่ากับราคายาในต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาการเอาเปรียบชาวอเมริกันที่จำยอมซื้อยาในราคาแพง

ทรัมป์กล่าวว่า ราคาของยาควรได้รับการปรับลดลงอย่างน้อย 59% และในบางกรณีอาจลดลงถึง 80-90%

เขาตำหนิสหภาพยุโรปว่าใช้กลวิธีโหดร้ายเพื่อบังคับให้บริษัทเภสัชกรรมขายยาในราคาที่ถูกกว่าในอาณาเขตของพวกเขาเอง ซึ่งหมายความว่าบริษัทต่างๆ จะหันมาขึ้นราคายาในสหรัฐฯ เพื่อรักษากำไร

"ใครก็ตามที่จ่ายราคาต่ำที่สุด นั่นคือราคาที่เราจะได้รับ" ทรัมป์กล่าว โดยมีโรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีสาธารณสุข ยืนเคียงข้าง

ภายใต้แผนดังกล่าว ทรัมป์ตั้งเป้าที่จะสถาปนานโยบาย "ชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์อย่างยิ่ง" ที่จะกำหนดราคาขายยาในสหรัฐฯ ให้เป็นราคาที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับที่ประเทศอื่นๆ จ่ายสำหรับยาชนิดเดียวกัน

"แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีประชากรเพียง 4% ของประชากรโลก แต่บริษัทยาทำกำไรได้มากกว่าสองในสามเมื่อขายในสหรัฐฯ"

"สหภาพยุโรปโหดร้ายมาก และบริษัทยาเล่าให้ผมฟังว่าพวกเขาใช้วิธีบังคับองค์กรเหล่านี้อย่างไรบ้าง" ทรัมป์กล่าว

ทั้งนี้ ราคายาในสหรัฐฯ นั้นสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และแพงกว่าในยุโรปอย่างชัดเจน

ทรัมป์กล่าวว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันถูกปฏิบัติเหมือนเป็นเหยื่อ และเปรียบเทียบตัวอย่างราคาของยาลดความอ้วน 'Ozempic' ซึ่งเขาบอกว่าในยุโรปมีราคาถูกกว่ามาก

แต่แผนของประธานาธิบดีสหรัฐจะขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองราคาของบริษัทยาเป็นหลัก และอาจเผชิญกับการท้าทายทางกฎหมาย เช่นเดียวกับข้อเสนอคล้ายกันที่ทรัมป์ผลักดันในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรกของเขา

ทรัมป์มอบหมายให้เคนเนดีเจรจากับบริษัทยาเพื่อลดราคาในช่วงเดือนหน้า

"ไม่เคยมีประธานาธิบดีคนใดที่เต็มใจจะต่อสู้กับกลุ่มผู้มีอำนาจ นอกจากโดนัลด์ ทรัมป์" เคนเนดีกล่าว

บริษัทยาเองก็ออกมาปกป้องการขายยาด้วยราคาสูง โดยกล่าวว่าราคานี้ช่วยให้พวกเขาสามารถดำเนินการวิจัยและพัฒนายารักษาโรคใหม่ๆ ได้

บริษัทยายักษ์ใหญ่ 'อีไล ลิลลี' กล่าวว่า การดำเนินการต่อต้านค่าคอมมิชชันจำนวนมากที่เรียกเก็บโดยคนกลางในสหรัฐ เช่น บริษัทประกันสุขภาพและโรงพยาบาลนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

"สำหรับบริษัทเรา ต้นทุนยามากกว่า 60% ตกไปอยู่ในมือพ่อค้าคนกลาง เราหวังว่าจะได้ร่วมงานกับฝ่ายบริหารเพื่อแก้ไขระบบที่พังนี้และนำราคาที่ต่ำลงมาสู่ผู้บริโภคโดยตรง" โฆษกของบริษัทฯกล่าว

เบอร์นี แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตตั้งคำถามต่อข้อโต้แย้งของทรัมป์

"ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ราคาของยาตามใบสั่งแพทย์ในยุโรปและแคนาดาต่ำเกินไป ปัญหาอยู่ที่อุตสาหกรรมยาที่โลภมากเป็นพิเศษซึ่งทำกำไรได้กว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้วจากการฉ้อโกงประชาชนชาวอเมริกัน" แซนเดอร์สกล่าวในแถลงการณ์

สถานะ "ชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์อย่างยิ่ง" เป็นกฎขององค์การการค้าโลกที่มุ่งป้องกันการเลือกปฏิบัติระหว่างประเทศและคู่ค้า รวมทั้งสร้างความเท่าเทียมให้กับการค้าระหว่างประเทศ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์พยายามลดราคายาในสหรัฐฯ

ในช่วงดำรงตำแหน่งครั้งแรกระหว่างปี 2017-2021 เขาได้ประกาศข้อเสนอที่คล้ายกันในการลดราคาขายยาในสหรัฐฯ แต่แผนของเขาล้มเหลวเมื่อเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักจากอุตสาหกรรมยา

เมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่มุ่งหวังจะลดราคาขายยาที่พุ่งสูง โดยให้รัฐต่างๆ มีอิสระมากขึ้นในการต่อรองราคาในต่างประเทศ และปรับปรุงกระบวนการเจรจาราคา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรปที่จะเริ่มบังคับใช้เดือนหน้าอาจทำให้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันได้ในเร็ว ๆ นี้

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 สหภาพยุโรปจะเริ่มจัดเก็บภาษีนำเข้าภายใต้มาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากกระบวนการผลิตของสินค้า[ EU [Source]] โดยในระยะแรกคาดว่า CBAM จะส่งผลกระทบต่อ 3.8% ของสินค้าส่งออกของไทยไปสหภาพยุโรปในปี 2569 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 28,000 ล้านบาท