มารีน เลอ เปน ผู้นำฝ่ายขวาจัดของฝรั่งเศสเตรียมขัดขวางการดำเนินการใดๆ ของรัฐบาลทุกชุดภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ในการแก้ไขวิกฤตทางการเมืองที่ลุกลามของประเทศ

มารีน เลอ เปน ผู้นำพรรคขวาจัดและประธานกลุ่มรัฐสภาแห่งชาติของฝรั่งเศส (Photo by Bertrand GUAY / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม 2568 กล่าวว่า ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับวิกฤตภายในประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดภายใต้การบริหารของเขา ท่ามกลางการบีบคั้นของเวลาสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล
มาครงต้องตัดสินใจว่าจะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
เลอคอร์นูซึ่งลาออกอย่างกะทันหันเมื่อวันจันทร์ ได้เดินทางมาถึงพระราชวังเอลิเซในเย็นวันพุธ เพื่อรายงานต่อมาครงเกี่ยวกับความพยายามของเขาในการหาทางประนีประนอมระหว่างพรรคการเมืองเพื่อนำประเทศออกจากวิกฤต
ฝรั่งเศสตกอยู่ในภาวะชะงักงันทางการเมืองนับตั้งแต่มาครงเสี่ยงโชคในการเลือกตั้งกะทันหันเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเขาหวังว่าจะรวบรวมอำนาจได้ แต่กลับจบลงด้วยการที่เป็นเสียงข้างน้อยในรัฐสภาและพรรคฝ่ายขวาจัดได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น
พรรคขวาจัดฝรั่งเศสซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่ที่สุดในรัฐสภา ได้มีการเรียกร้องให้มาครงประกาศจัดการเลือกตั้งกะทันหันใหม่ หรือไม่เช่นนั้นก็ลาออก
ก่อนหน้านี้ในวันพุธ มารีน เลอ เปน ผู้นำพรรคขวาจัดให้คำมั่นว่าจะทำทุกวิถิทางไม่ให้เกิดคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
"ฉันลงคะแนนคัดค้านทุกอย่าง" ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสามสมัยกล่าว หลังจากที่กลุ่มของเธอปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการเจรจาเพื่อยุติวิกฤต
ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่งานแสดงสินค้าปศุสัตว์ทางตอนกลางของฝรั่งเศส เธอเปรียบเทียบชีวิตทางการเมืองของฝรั่งเศสกับ "โรดิโอ"
แนวคิดของพวกเขาคือ "ฉันจะทนได้นานแค่ไหนในขณะที่ม้าพยายามจะเหวี่ยงฉันออกไป" หญิงวัย 57 ปีกล่าว
พรรคต่อต้านผู้อพยพของเลอ เปน รู้สึกถึงโอกาสที่ดีที่สุดที่จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในปี 2027 โดยที่มาครงจะหมดสิทธิ์ลงสมัครในสมัยที่สาม
นับตั้งแต่การลงประชามติกะทันหันในปี 2024 สภานิติบัญญัติได้โค่นล้มนายกรัฐมนตรีสองคนจากความขัดแย้งเรื่องงบประมาณรัดเข็มขัดในปีหน้า
เลอคอร์นูประกาศลาออกในวันจันทร์หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของเขา
แต่ด้วยหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มาครงจึงโน้มน้าวให้เขาอยู่ต่อจนถึงเย็นวันพุธเพื่อพยายามแก้ไขสถานการณ์ที่ชะงักงัน
หลังจากพบปะกับนักการเมืองสายกลางและนักการเมืองฝ่ายขวา เลอคอร์นูกล่าวในเช้าวันพุธว่าจนถึงขณะนี้ทุกฝ่ายมีความเห็นพ้องต้องกันว่าประเทศต้องมีงบประมาณก่อนวันที่ 31 ธันวาคม
เขายังรายงานถึง "การบรรจบกันที่ผลักดันให้เกิดการยุบสภา" ก่อนที่จะพบปะกับผู้นำฝ่ายซ้าย
หากเลอคอร์นูไม่สามารถหาทางออกได้ มาครงกล่าวก่อนหน้านั้นว่าเขาจะรับผิดชอบเอง ซึ่งดูเหมือนจะหมายถึงการจัดเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาก่อนกำหนด
ยังไม่แน่ชัดว่าพรรคสังคมนิยม ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญที่มีอิทธิพลในรัฐสภา จะเห็นด้วยกับการประนีประนอมใดๆ หรือไม่
โอลิวิเยร์ โฟเร หัวหน้าพรรคสังคมนิยมดูเหมือนจะผิดหวังที่ข้อตกลงกับรัฐบาลไม่มีประเด็นการยกเลิกการปฏิรูปเงินบำนาญปี 2023 ที่ไม่เป็นที่นิยมอย่างยิ่ง
อดีตนายกรัฐมนตรีเอลิซาเบธ บอร์น ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวเมื่อช่วงค่ำวันอังคารว่า อาจมีการพิจารณาเรื่องนี้
มาตรการเพิ่มอายุเกษียณจาก 62 ปี เป็น 64 ปี ซึ่งเธอได้นำร่างกฎหมายผ่านสภาโดยไม่มีการลงคะแนนเสียงภายใต้อำนาจตามรัฐธรรมนูญที่เป็นที่ถกเถียง ได้ก่อให้เกิดการประท้วงอย่างโกรธแค้นเป็นเวลาหลายเดือน
มาครงอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักให้ยุติวิกฤตที่ยืดเยื้อนี้ แม้แต่จากอดีตพันธมิตรของเขา
เอดัวร์ ฟิลิป อดีตนายกรัฐมนตรีของมาครง กล่าวเมื่อวันอังคารว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนกำหนดควรจัดขึ้นทันทีที่งบประมาณผ่าน
แต่มาครงซึ่งชนะการเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2017 ได้กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาจะดำรงตำแหน่งไปจนสิ้นสุดวาระที่สอง
ปัจจุบันเลอเปนถูกห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานคอร์รัปชัน ซึ่งเธอกำลังยื่นอุทธรณ์
ผลสำรวจความคิดเห็นใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธชี้ว่า พรรคของเธอทำคะแนนนำหน้าหากเกิดการเลือกตั้งประธานาธิบดีก่อนกำหนด โดยประชาชนพร้อมเลือกพรรคของเธอและไม่คำนึงว่าเธอจะได้รับอนุญาตให้ลงสมัครหรือไม่ก็ตาม
พรรคฝ่ายขวาจัดน่าจะได้คะแนนนำในรอบแรก จากผลสำรวจของ Toluna Harris Interactive ของสถานีโทรทัศน์ RTL
หากจอร์แดน บาร์เดลลา วัย 30 ปี ลูกศิษย์ของเลอ เปน ลงสมัครรับเลือกตั้ง เขาจะชนะคะแนนเสียง 35% ตามมาด้วยเอดัวร์ ฟิลิป อดีตนายกรัฐมนตรีสายกลาง ที่ได้คะแนนนิยม 16%
ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นจากประชาชน 1,289 คน จัดทำขึ้นเมื่อวันอังคาร โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ระหว่าง 1.4 ถึง 3.1 คะแนน
อย่างไรก็ตาม ความโดดเดี่ยวภายในประเทศของมาครงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับภาพลักษณ์ของเขาบนเวทีระหว่างประเทศ
เมื่อเดือนที่แล้ว เขาเพิ่งประกาศยอมรับสถานะรัฐปาเลสไตน์ และเขากำลังพยายามยุติการรุกรานยูเครนของรัสเซียร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา.


