ตำรวจริโอเดจาเนโรสังหารแก๊งค้ายาที่มีอิทธิพล มากกว่า 100 ราย

ชาวเมืองริโอเดจาเนโรเรียงรายร่างผู้เสียชีวิตบนถนน หลังจากปฏิบัติการบุกจู่โจมของตำรวจที่นองเลือดที่สุดในบราซิล คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 119 ราย

ชาวบ้านยืนเรียงรายเคียงข้างศพจำนวนมากที่จัตุรัสเซาลูคัส ในย่านชุมชนแออัดวิลา ครูเซย์โร ในเขตเปนญา เมืองริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม หลังจากปฏิบัติการของตำรวจที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง (Photo by Pablo PORCIUNCULA / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2568 กล่าวว่า ปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งค้ายาของตำรวจบราซิลทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 รายจากการปะทะที่นองเลือดที่สุดในเมืองริโอเดจาเนโร

ประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา รู้สึกตกใจกับจำนวนผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการดังกล่าว และเรียกร้องให้มีการดำเนินการต่อต้านกลุ่มอาชญากรรมในรูปแบบที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตำรวจหรือพลเรือน เนื่องจากปัญหาความมั่นคงของบราซิลถูกเปิดเผยเพียงไม่กี่วันก่อนที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม COP30 ว่าด้วยสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ณ ลุ่มแม่น้ำอเมซอน

ขณะที่นักเคลื่อนไหวและองค์การสหประชาชาติแสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้กำลังของตำรวจ รัฐบาลท้องถิ่นริโอเดจาเนโรกลับยกย่องปฏิบัติการนี้ว่าประสบความสำเร็จในการหยุดยั้งการยึดครองดินแดนโดยกลุ่มคอมมานโด แวร์เมลโญ (กองบัญชาการแดง) ที่มีอิทธิพลฝังรากลึกในย่านยากจน

กลุ่มติดอาวุธหนักซึ่งใช้โดรนในการทิ้งระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ ได้เข้ายึดพื้นที่ขนาดใหญ่ของริโอเดจาเนโรในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นปฏิบัติการในชุมชนแออัดขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนหลายล้านคน

หนึ่งวันหลังจากปฏิบัติการของตำรวจทำให้เมืองแทบเป็นอัมพาต ชาวชุมชนแออัด 'คอมเพล็กโซ ดา เปนญา' ได้กู้ศพหลายสิบศพจากป่าในเขตชานเมือง

ชายคนหนึ่งถูกตัดศีรษะ และอีกคนเสียโฉมอย่างสิ้นเชิง ผู้คนต่างประณามสิ่งเหล่านี้ว่าเปรียบดั่งการประหารชีวิต

"รัฐเข้ามาสังหารหมู่ ไม่ใช่ปฏิบัติการของตำรวจ พวกเขามาโดยตรงเพื่อฆ่าและพรากชีวิต" หญิงคนหนึ่งกล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพี

เจ้าหน้าที่รัฐระบุว่ายอดผู้เสียชีวิตรวมเบื้องต้นอยู่ที่ 119 ราย แบ่งเป็นฝั่งผู้ต้องสงสัยว่าเป็นอาชญากร 115 ราย และเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย

นอกจากนี้ยังมีผู้ถูกควบคุมตัว 113 คน และยึดปืนไรเฟิลได้ 91 กระบอก พร้อมด้วยยาเสพติดจำนวนมาก

ขณะที่สำนักงานทนายความสาธารณะซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐในริโอที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ยากไร้ รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 132 ราย

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากที่เข้าร่วมปฏิบัติการได้รับการสนับสนุนรถหุ้มเกราะ, เฮลิคอปเตอร์ และโดรน ขณะที่ท้องถนนในย่านสลัมเกิดภาพจำลองสถานการณ์ไม่ต่างจากการทำสงคราม

ตำรวจและผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกแก๊งค้ายาต่างสาดกระสุนเข้าใส่กันอย่างหนัก ส่วนชาวบ้านที่หวาดกลัวต่างรีบวิ่งหาที่กำบัง

ขณะที่ปฏิบัติการกำลังดำเนินอยู่ กลุ่มคอมมานโด แวร์เมลโญได้ยึดรถบัสหลายสิบคันและนำไปใช้ปิดกั้นทางหลวงสายหลัก และส่งโดรนโจมตีตำรวจด้วยวัตถุระเบิด

เคลาดิโอ คาสโตร ผู้ว่าการรัฐริโอเดจาเนโร กล่าวถึงปฏิบัติการจู่โจมต่อการก่อการร้ายยาเสพติดว่า "ประสบความสำเร็จ" แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกสังหารไปด้วยก็ตาม

มาร์เซโล เด เมเนเซส เลขาธิการตำรวจทหารกล่าวในการแถลงข่าวว่า หน่วยรบพิเศษระดับสูงได้จงใจไล่ต้อนอาชญากรเข้าไปในป่าที่อยู่ติดกับชุมชนแออัดซึ่งเป็นสถานที่เกิดการสู้รบส่วนใหญ่ เพื่อภารกิจปกป้องประชาชน

แต่ชาวบ้านที่โกรธแค้นกล่าวหาตำรวจว่าสังหารหมู่

"มีคนถูกประหารชีวิต หลายคนถูกยิงที่ศีรษะ ถูกยิงที่ด้านหลัง เรื่องนี้ไม่สามารถถือเป็นความปลอดภัยสาธารณะได้" ราอูลล์ ซานติอาโก ชาวบ้านวัย 36 ปีและนักเคลื่อนไหวกล่าว

อัลบิโน เปเรรา เนโต ทนายความซึ่งเป็นตัวแทนของครอบครัวสามครอบครัวที่สูญเสีย บอกกับเอเอฟพีว่า ศพบางศพมีรอยไหม้และผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งถูกพันธนาการ

บางคน "ถูกฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น" เขากล่าว

ขณะที่ประธานาธิบดีบราซิลกล่าวว่ารัฐบาลกลางไม่ทราบเรื่องปฏิบัติการนี้

ริคาร์โด เลวานดอฟสกี รัฐมนตรียุติธรรมบราซิลกล่าวว่า "ประธานาธิบดีรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และรู้สึกประหลาดใจที่ปฏิบัติการขนาดนี้ถูกวางแผนโดยที่รัฐบาลกลางไม่ทราบ"

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติแสดงความกังวลอย่างมากกับจำนวนผู้เสียชีวิต และสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเรียกร้องให้ดำเนินการสอบสวนโดยเร็ว.

เพิ่มเพื่อน