รัฐบาลทรัมป์ประกาศยกเลิกสถานะคุ้มครองชั่วคราวต่อผู้อพยพชาวเมียนมา จากการถูกเนรเทศออกจากสหรัฐอเมริกา

(แฟ้มภาพ) ผู้ประท้วงถือป้ายและโบกธงชาติสหรัฐฯ ระหว่างการประท้วง "วันปฏิวัติการประท้วงทั่วโลกเพื่อเมียนมา" ที่เกาะราสเบอร์รี่ ในแม่น้ำมิสซิสซิปปี ประเทศสหรัฐอเมริกา (Photo by Kerem Yucel / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2568 กล่าวว่า รัฐบาลวอชิงตันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศยกเลิกสถานะคุ้มครองชั่วคราวที่ปกป้องผู้อพยพจากเมียนมาไม่ให้ถูกเนรเทศออกจากสหรัฐอเมริกา
ความเคลื่อนไหวนี้ส่งผลกระทบต่อชาวเมียนมาประมาณ 4,000 คน ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาภายใต้สถานะคุ้มครองชั่วคราว (TPS)
TPS คุ้มครองผู้ถือสถานะจากการถูกเนรเทศและอนุญาตให้พวกเขาทำงานได้ในดินแดนอเมริกา
การอนุญาตนี้มอบให้กับบุคคลที่ถูกพิจารณาว่าตกอยู่ในอันตรายหากพวกเขากลับไปยังประเทศบ้านเกิดของตน อันเนื่องมาจากสงคราม, ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือสถานการณ์พิเศษอื่นๆ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ยกเลิกสถานะคุ้มครองชั่วคราว (TPS) สำหรับพลเมืองจากอัฟกานิสถาน, แคเมอรูน, เฮติ, ฮอนดูรัส, เนปาล, นิการากัว, ซีเรีย, ซูดานใต้ และเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามผู้อพยพครั้งใหญ่
ทรัมป์ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าเขาจะถอนสถานะของพลเมืองโซมาเลียด้วย
ทั้งนี้ TPS ได้รับการขยายไปยังพลเมืองเมียนมาหลังจากการรัฐประหารในปี 2021 โดยคริสตี โนเอม รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิกล่าวว่าการตัดสินใจถอนสถานะนี้เกิดขึ้นหลังจากการทบทวนสถานการณ์ในประเทศ
"เมียนมายังคงเผชิญกับความท้าทายด้านมนุษยธรรม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปฏิบัติการทางทหารอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อต้านการปะทะด้วยอาวุธ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาธรรมาภิบาลและเสถียรภาพทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น" โนเอมกล่าว
โนเอมยังอ้างถึงการยกเลิกภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลทหารเมียนมาในเดือนกรกฎาคม และการประกาศว่าการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมจะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากองค์กรรณรงค์นอกภาครัฐ เช่น ฮิวแมนไรท์วอทช์ (HRW)
"คำแถลงที่คลาดเคลื่อนของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิในการเพิกถอน TPS ให้กับประชาชนจากเมียนมานั้นร้ายแรงมากจนยากที่จะจินตนาการ" จอห์น ซิฟตัน ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ประจำเอเชียของ HRW กล่าวในแถลงการณ์
กลุ่มดังกล่าวระบุว่า "สถานการณ์ฉุกเฉินของเมียนมาที่ถูกเพิกถอนในเดือนกรกฎาคม ถูกแทนที่ด้วยสถานการณ์ฉุกเฉินและกฎอัยการศึกใหม่ทันทีในหลายเมืองทั่ว 9 รัฐและภูมิภาค"
โวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้ที่เมียนมาจะจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมได้ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน
"ใครจะพูดได้อย่างไรว่าการเลือกตั้งเสรีและเป็นธรรม แล้วพวกเขาจะจัดการกันได้อย่างไร ในเมื่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของใครเลย ทั้งที่กองทัพเป็นฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งและปราบปรามประชาชนมาหลายปีแล้ว" เติร์กกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีเมื่อเร็วๆ นี้
กลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวว่าการเลือกตั้งใดๆของเมียนมาจะไม่ชอบธรรม เนื่องจากนางอองซานซูจี ผู้นำพรรคประชาธิปไตยถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกจำคุกจากการรัฐประหาร และพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองยอดนิยมยังถูกยุบอีกด้วย
รัฐบาลทหารยึดอำนาจโดยอ้างการทุจริตที่ไม่มีหลักฐานยืนยันในการเลือกตั้งปี 2020 ซึ่งพรรค NLD ชนะอย่างถล่มทลาย
สงครามกลางเมืองหลายฝ่ายได้แผ่ขยายไปทั่วเมียนมานับตั้งแต่นั้นมา โดยรัฐบาลทหารสูญเสียพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศให้กับกองกำลังสนับสนุนประชาธิปไตยและกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยในหลายพื้นที่
ทั้งนี้ กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ แนะนำให้ชาวอเมริกันหลีกเลี่ยงการเดินทางไปเมียนมา เนื่องจากความขัดแย้งทางอาวุธ, ความเสี่ยงต่อความไม่สงบทางการเมือง และการคุมขังโดยมิชอบ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
องค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลก กำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
สหประชาชาติแถลงว่า การตัดงบประมาณและการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายในหลายประเทศกำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการทำงานของนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก


