ทหารกองกำลังแห่งชาติ 2 นายของสหรัฐฯ ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุเจาะจงยิงใกล้ทำเนียบขาว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ความมั่นคงที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับการปราบปรามอาชญากรรมทั่วประเทศของโดนัลด์ ทรัมป์

ชายนิรนามสวมชุดทหารนอนอยู่บนเปลหามภายในรถพยาบาล เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ในย่านดาวน์ทาวน์กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าทหารกองกำลังรักษาดินแดน 2 นายถูกยิงห่างจากทำเนียบขาวเพียงไม่กี่ช่วงตึก (Photo by Drew ANGERER / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน 2568 กล่าวว่า เกิดเหตุทหารกองกำลังแห่งชาติ 2 นายของสหรัฐฯ ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุลอบยิงแบบกำหนดเป้าหมาย ใกล้ทำเนียบขาว และยังไม่มีเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับแรงจูงใจในการโจมตี
มูเรียล โบว์เซอร์ นายกเทศมนตรีเมืองวอชิงตันเรียกเหตุการณ์นี้ว่า "การยิงแบบเจาะจงเป้าหมาย" โดยมือปืนเพียงคนเดียว และบุคคลดังกล่าวถูกควบคุมตัวแล้ว
ทหารทั้งสองนายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังปราบปรามอาชญากรรมที่ประจำการอยู่ทั่วสหรัฐอเมริกาตามคำสั่งของทรัมป์ อยู่ในอาการวิกฤต ตามรายงานของเอฟบีไอ
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติ นับตั้งแต่ทรัมป์เริ่มสั่งให้ทหารเคลื่อนพลไปตามท้องถนนในเมืองต่างๆ ที่พรรคเดโมแครตบริหารอยู่ หลังจากเริ่มดำรงตำแหน่งสมัยที่สองในเดือนมกราคม
"ผู้ต้องสงสัยได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น เขาจะต้องชดใช้ด้วยราคาที่สูงมาก" โดนัลด์ ทรัมป์โพสต์บนแพลตฟอร์ม Truth Social ของเขาเกี่ยวกับเหตุดังกล่าว
เหตุการณ์ลอบยิงเกิดขึ้นที่สถานีรถไฟใต้ดินฟาร์รากัตเวสต์ ซึ่งอยู่ห่างจากทำเนียบขาวไปสองช่วงตึก ในช่วงบ่ายแก่ๆ ขณะที่ท้องถนนและร้านค้าใกล้เคียงเต็มไปด้วยผู้คน
เจฟฟรีย์ แคร์โรลล์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจวอชิงตัน กล่าวว่า มือปืนซุ่มโจมตีเป้าหมาย โดยเดินอ้อมมุมถนน, ยกแขนขึ้นพร้อมกับอาวุธปืน และยิงใส่เจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาดินแดน
"เขาถูกควบคุมตัวอย่างรวดเร็วโดยเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาดินแดนและเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายคนอื่นๆ" แคร์โรลล์กล่าว
ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีใกล้ที่เกิดเหตุได้ยินเสียงปังดังหลายครั้งและเห็นผู้คนวิ่งหนี ขณะที่ผู้คนที่อยู่แถวนั้นหลายสิบคนตกอยู่ในความโกลาหล
ไม่นานหลังจากเกิดเหตุยิง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เข้ารุมล้อมพื้นที่พร้อมถือปืนไรเฟิลยืนเฝ้าอยู่หลังเทปสีเหลืองที่บริเวณรอบนอก และมีเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่เหนือย่านใจกลางเมืองที่พลุกพล่าน
ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีเห็นหน่วยกู้ภัยวิ่งไปยังสถานีรถไฟใต้ดินพร้อมเปลหามมีล้อ และไม่นานหลังจากนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับผู้บาดเจ็บที่สวมชุดลายพราง ซึ่งพวกเขานำขึ้นรถพยาบาลไปรักษา
สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า ชายผู้ต้องสงสัยยิงทหารกองกำลังรักษาดินแดนสองนายใกล้ทำเนียบขาวเป็นชาวอัฟกันที่เคยประจำการร่วมกับทหารสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน
สำนักข่าว NBC News อ้างข้อมูลจากญาติของผู้ต้องสงสัยและเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายหลายนาย ระบุว่าชายคนดังกล่าวคือ ราห์มานุลเลาะห์ ลากันวาล อายุ 29 ปี
NBC รายงานว่า ลากันวาลเดินทางมาสหรัฐอเมริกาในเดือนกันยายน 2021 หลังจากรับราชการในกองทัพอัฟกานิสถานเป็นเวลา 10 ปี เพื่อสนับสนุนกองกำลังพิเศษของสหรัฐฯ
Fox News อ้างอิงคำพูดของผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลาง (CIA) ระบุว่า ลากันวาลเคยทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ หลายแห่ง รวมถึงหน่วยข่าวกรอง
การโจมตีที่เกิดขึ้นข้างสถานีรถไฟใต้ดินในช่วงเวลาที่ถนนและสำนักงานในตัวเมืองวอชิงตันพลุกพล่าน ยังทำให้มีการเน้นย้ำถึงการเสริมกำลังทหารของทรัมป์ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันในการผลักดันปราบปรามอาชญากรรมทั่วประเทศอีกด้วย
ทั้งนี้ อาคารรัฐบาลในย่านดาวน์ทาวน์วอชิงตันมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองต้องเผชิญกับอาชญากรรมบนท้องถนนที่ร้ายแรงมาหลายปี
ทรัมป์ทำให้วอชิงตันกลายเป็นตัวอย่างสำหรับการตัดสินใจของเขาในการสั่งให้ทหารกองกำลังรักษาดินแดน (National Guard) ในชุดลายพรางและบางครั้งก็พกปืนไรเฟิล ออกลาดตระเวนตามท้องถนนในเมืองที่บริหารโดยนายกเทศมนตรีจากพรรคเดโมแครต ซึ่งรวมถึงลอสแอนเจลิสและเมมฟิส
หลังจากเหตุการณ์ยิงใกล้ทำเนียบขาว พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมประกาศว่าจะส่งทหารอีก 500 นายไปยังวอชิงตัน รวมเป็น 2,500 นาย
"สิ่งนี้จะยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราที่จะทำให้กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ปลอดภัยและสวยงามยิ่งขึ้น" เฮกเซธกล่าว
นโยบายดังกล่าวทำให้เกิดข้อร้องเรียนอย่างรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นซึ่งกล่าวหาว่าทรัมป์เป็นผู้ยุยงให้เกิดความตึงเครียด ขณะที่การส่งกำลังพลครั้งนี้เป็นประเด็นที่ถูกฟ้องร้องต่อศาลในหลายกรณี
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางได้ตัดสินว่าการส่งกองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติหลายพันนายของทรัมป์ไปยังเมืองหลวงของสหรัฐฯ ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
แอนดรูว์ แมคเคบ อดีตรองผู้อำนวยการเอฟบีไอ ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นว่า ทหารเหล่านี้ไม่ได้รับการฝึกฝนด้านการบังคับใช้กฎหมาย
"ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นปัจจัยที่คาดเดาไม่ได้อย่างแท้จริง เราไม่รู้จริงๆ ว่าคนเหล่านั้นจะตอบสนองอย่างไรหากต้องเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงบนท้องถนนที่มีคนถืออาวุธ" แมคเคบแสดงความกังวล.


