โดนัลด์ ทรัมป์สั่งกองกำลังสหรัฐฯ ทำการโจมตีอย่างรุนแรงต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลามในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของไนจีเรีย หลังจากที่เขาเตือนว่าจะเอาคืนอย่างสาสมต่อกรณีโจมตีอย่างเป็นระบบต่อชาวคริสต์เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ ณ รีสอร์ทมาร์-อา-ลาโก ในปาล์มบีช รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม (Photo by TASOS KATOPODIS / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2568 กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มอบของขวัญวันคริสต์มาสด้วยการสั่งกองกำลังสหรัฐฯ ทำการโจมตีอย่างรุนแรงและเด็ดขาดต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลามในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของไนจีเรีย
กระทรวงต่างประเทศไนจีเรียยืนยันการโจมตีทางอากาศเมื่อเช้าวันศุกร์ โดยระบุว่าเป็นการโจมตีเป้าหมายผู้ก่อการร้ายอย่างแม่นยำในพื้นที่
กองบัญชาการแอฟริกาของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า "ผู้ก่อการร้ายไอซิส (กลุ่มรัฐอิสลาม) หลายคนถูกสังหารจากการโจมตีในรัฐโซโคโต ซึ่งดำเนินการตามคำขอของทางการไนจีเรีย"
มีการให้รายละเอียดเพียงเล็กน้อย และไม่ชัดเจนว่ามีผู้เสียชีวิตกี่ราย
ขณะที่ทรัมป์กล่าวว่าเขาเคยเตือนผู้ก่อการร้ายเหล่านี้แล้วว่า หากพวกเขาไม่หยุดการสังหารหมู่ชาวคริสต์ จะต้องได้รับผลกรรมอย่างหนัก และคืนนี้ก็เป็นเช่นนั้น
"สุขสันต์วันคริสต์มาสแด่ทุกคน รวมถึงผู้ก่อการร้ายที่เสียชีวิต ซึ่งจะมีอีกมากมายหากการสังหารหมู่ชาวคริสต์ของพวกเขายังคงดำเนินต่อไป" เขาเขียนบนแพลตฟอร์ม Truth Social
ต่อมาเจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ ได้โพสต์วิดีโอที่ดูเหมือนจะเป็นการยิงขีปนาวุธในเวลากลางคืนจากดาดฟ้าเรือรบที่ติดธงชาติสหรัฐฯ
การโจมตีครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กองกำลังสหรัฐฯ ปฏิบัติการในไนจีเรียภายใต้การนำของทรัมป์ และเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้นำจากพรรครีพับลิกันได้ตำหนิประเทศในแอฟริกาตะวันตกแห่งนี้อย่างไม่คาดคิดในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน โดยกล่าวว่าชาวคริสต์ในไนจีเรียกำลังเผชิญกับภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ที่เทียบเท่ากับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ท่ามกลางความขัดแย้งทางอาวุธมากมายในไนจีเรีย
การรุกทางการทูตครั้งนั้นได้รับการต้อนรับจากบางฝ่าย แต่ถูกตีความโดยฝ่ายอื่นๆ ว่าเป็นการจุดชนวนความตึงเครียดทางศาสนาในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในแอฟริกา ซึ่งเคยเกิดความรุนแรงทางศาสนามาแล้วในอดีต
รัฐบาลไนจีเรียและนักวิเคราะห์อิสระปฏิเสธที่จะมองความรุนแรงในประเทศในแง่ของการถูกกดขี่ทางศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่กลุ่มคริสเตียนฝ่ายขวาในสหรัฐอเมริกาและยุโรปใช้มานานแล้ว
แต่ทรัมป์และฝ่ายบริหารของเขาซึ่งกล่าวว่าเป็นการกดขี่ชาวคริสต์ทั่วโลก ได้เน้นย้ำเมื่อเดือนที่แล้วว่ารัฐบาลวอชิงตันพร้อมที่จะใช้ปฏิบัติการทางทหารในไนจีเรียเพื่อตอบโต้การสังหารดังกล่าว
กระทรวงต่างประเทศไนจีเรียกล่าวว่าประเทศกำลังประสานงานกับพันธมิตรนานาชาติ โดยระบุว่า "ทางการไนจีเรียยังคงมีส่วนร่วมในความร่วมมือด้านความมั่นคงอย่างเป็นระบบกับพันธมิตรระหว่างประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ในการจัดการกับภัยคุกคามจากการก่อการร้ายและความรุนแรงสุดโต่งที่ยังคงมีอยู่"
พลเอกปีเตอร์ เฮกเซธ เสนาธิการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวตอบว่า เขารู้สึกขอบคุณสำหรับการสนับสนุนและความร่วมมือจากรัฐบาลไนจีเรีย
ในปีนี้ สหรัฐฯ ได้จัดให้ไนจีเรียอยู่ในรายชื่อประเทศที่ "น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ" เกี่ยวกับเสรีภาพทางศาสนาอีกครั้ง และได้จำกัดการออกวีซ่าให้กับชาวไนจีเรีย
เมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์ยังขู่ว่าจะระงับความช่วยเหลือทั้งหมดแก่รัฐบาลอาบูจา หากยังคงอนุญาตให้มีการฆ่าชาวคริสต์
ทั้งนี้ ไนจีเรียแบ่งออกเป็นสองส่วนเกือบเท่าๆ กัน คือ ภาคเหนือที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และภาคใต้ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นคริสเตียน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรียตกอยู่ภายใต้ความรุนแรงจากกลุ่มก่อการร้ายโบโกฮารามมากว่า 15 ปีแล้ว ซึ่งมีการคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 40,000 รายและทำให้ผู้คนพลัดถิ่นกว่า 2 ล้านคน
ในขณะเดียวกัน พื้นที่ส่วนใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ, เหนือ และตอนกลางของประเทศถูกโจมตีโดยแก๊งอาชญากรที่รู้จักกันในชื่อ "โจร" ซึ่งโจมตีหมู่บ้าน, ฆ่า และลักพาตัวชาวบ้าน
เมื่อวันพุธ เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่มัสยิดแห่งหนึ่งในเมืองไมดูกูรีทางตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ราย และยังไม่มีกลุ่มติดอาวุธใดออกมาอ้างความรับผิดชอบในทันที.

