
ท่องเที่ยวกรุงเทพฯสั้น ๆ ในวันหยุด ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์หลากหลายสไตล์ให้เลือกสรร ทั้งวัดวาอารามสุดงดงาม คาเฟ่บรรยากาศดี ย่านช้อปปิ้งสุดคึกคัก พิพิธภัณฑ์ เต็มอิ่มกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ร้านอาหารรสเด็ด หรือและสปา ผ่อนคลายร่างกาย แต่ในทริปนี้อยากชวนทุกคนออกเดินทางแบบสบาย ๆ สัมผัสบรรยากาศของเมืองหลวงด้วยการนั่งรถชมเมือง พาย้อนเวลาไปรู้จักกับ เรื่องราวของเงินตราไทย ที่ไม่เพียงแต่สะท้อนพัฒนาการทางเศรษฐกิจ แต่ยังเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ ศิลปะ และอัตลักษณ์ของชาติ และเข้าสปาเพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ

เริ่มต้นซึมซับบรรยากาศของเมืองกรุงกับรถบัสนำเที่ยว Thai Bus Food Tour (Thailand Tourism Awards รางวัล Gold Awards ประเภทรายการนำเที่ยว) โดยมีจุดขึ้นรถอยู่ที่ริเวอร์ซิตี้ ทันทีที่ขึ้นรถจะได้พบกับบรรยากาศภายในที่ตกแต่งอย่างทันสมัย กว้างขวาง นั่งสบาย เมื่อเรากับเพื่อนร่วมทริปจัดแจงที่นั่งกันเรียบร้อย รถก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัว มุ่งหน้าสู่เส้นทางชมเมืองผ่านแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ กว่า 20 แห่ง

ระหว่างทางนั่งชมวิวสวยๆ ของเมืองไปพลาง พร้อมลิ้มรสอาหารไทยเลิศรสที่เสิร์ฟบนรถ รถพาเราแล่นผ่านสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ย่านหัวลำโพง วัดไตรมิตร เยาวราช โลหะปราสาท อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พระบรมมหาราชวัง วัดอรุณฯ วัดโพธิ์ เสาชิงช้า วัดภูเขาทอง และ ป้อมมหากาฬ ตลอดระยะเวลาราว 1 ชั่วโมงบนรถ เราจะได้สัมผัสกรุงเทพฯ ในอีกมุมมองที่ใช้เวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น
มาสัมผัสเรื่องราวที่น่าสนใจของเงินตราในไทย หลายคนคงคุ้นๆกับเงินตราไทยในอดีตที่มักปรากฏอยู่ในละพีเรียด เช่น เงินพดด้วง หอยเบี้ย หรือหน่วยเงินโบราณอื่นๆ ที่เคยใช้แลกเปลี่ยนสินค้าหรือชำระหนี้ในอดีต ทำให้เห็นว่าเงินไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงอำนาจ ความมั่งคั่ง ศิลปะของแต่ละยุคสมัยอีกด้วย ในเมืองกรุงสถานที่ที่ชมเรื่องราวเหล่านี้ ต้องไม่พลาดมาที่ พิพิธบางลำพู (Thailand Tourism Awards รางวัล Silver Awards ประเภทแหล่งท่องเที่ยว สาขาแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม) และพิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ (Thailand Tourism Awards รางวัล Gold Awards ประเภทแหล่งท่องเที่ยว สาขาแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม)

มาถึงย่านบางลำพู ทางฝั่งถนนพระสุเมรุจะเห็น ป้อมพระสุเมรุ โบราณสถานเก่าแก่ริมคลองบางลำพู ตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่นี้ เพียงข้ามถนนก็จะถึง พิพิธบางลำพู พิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ที่มีอายุครบ 93 ปี ตั้งอยู่ในที่ราชพัสดุ ภายใต้การดูแลของ กรมธนารักษ์ เดิมที่นี่เคยเป็น โรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช ก่อนเปลี่ยนเป็น โรงพิมพ์คุรุสภา และถูกปล่อยร้างเมื่อหมดสัญญาเช่า ตัวอาคารเกือบถูกทุบทิ้ง แต่ด้วยพลังของคนในชุมชนที่เล็งเห็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์ พวกเขาร่วมกันผลักดันให้ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน โดยกรมศิลปากร ในปี 2544

ต่อมา กรมธนารักษ์ ได้ปรับปรุงอาคารแห่งนี้ให้เป็น พิพิธบางลำพู จัดแสดงเรื่องราวของกรมฯ ควบคู่กับวิถีชีวิตของชุมชน ผ่านนิทรรศการเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เมื่อเข้าไปใน ห้องนิทรรศการกรมธนารักษ์ จะได้ชม แบบเรียนจำลอง และ แท่นพิมพ์ตัวเรียง (Letterpress) ที่เคยใช้จริงในยุคที่นี่เป็นโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช ซึ่งปัจจุบันหาชมได้ยากอีกส่วนเป็นการจัดแสดง เหรียญกษาปณ์ในยุคต่าง ๆ พร้อมแผนผังกระบวนการผลิตที่เข้าใจง่าย อีกห้องจัดฉาย วิดีทัศน์ อธิบายบทบาทของกรมธนารักษ์ในการดูแลทรัพย์สินของชาติ ทั้งการบริหารที่ราชพัสดุให้เกิดประโยชน์สูงสุด การประเมินราคาทรัพย์สินตามสภาพเศรษฐกิจ และการผลิตเหรียญหมุนเวียนให้เพียงพอ รวมถึงเหรียญที่ระลึก และ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่สะท้อนฝีมือและความประณีตอันทรงคุณค่า

เดินมาถึงห้องสุดท้ายของพิพิธบางลำพู เหมือนได้เปิดประตูย้อนเวลากลับไปสัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนเล็ก ๆ ที่เคยรุ่งเรือง นิทรรศการจัดแสดงอย่างอบอุ่นและมีชีวิตชีวา เริ่มจากภาพของบางลำพูในอดีต ตั้งแต่การขุดคลองรอบกรุง และการจัดแสดงฉากเรื่องราวของพระนครเซ็นเตอร์ ย่านบันเทิงสุดคึกคักที่เคยรายล้อมด้วยลิเก โรงหนัง ร้านค้าเก่าแก่ และมหรสพหลากหลาย ยังมีเรื่องราวของตรอกปักชุดโขน บ้านดุริยประณีตที่เคยเป็นแหล่งเรียนดนตรีไทย และศิลปะการแทงหยวกซึ่งหาชมได้ยากในปัจจุบัน อีกหนึ่งไฮไลต์คือ กิ่งต้นลำพูดั้งเดิม ที่ชุมชนเก็บรักษาไว้เป็นสัญลักษณ์ของย่าน และ พระพุทธบางลำพูประชานาถ พระพุทธรูปที่สมเด็จพระสังฆราชประทานให้แก่ชาวบางลำพู เป็นเสมือนศูนย์รวมใจของชุมชนจนถึงทุกวันนี้

จากพิพิธบางลำพู เราเดินต่อมายัง พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ เป็นอีกพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวของ เงินตรา ภายใต้แนวคิด “วิถีแห่งเงินตรา สินล้ำค่าของแผ่นดิน” ผ่านการจัดแสดงที่มีชีวิตชีวา การจัดแสดงแบ่งเป็น 2 ชั้น เริ่มจากชั้นล่าง ที่ย้อนพาเรากลับไปสู่ยุคแรกเริ่มของการแลกเปลี่ยนสิ่งของ ซึ่งครั้งหนึ่งมนุษย์เคยใช้ เขี้ยวสัตว์ ในนิวกินี, หนังสัตว์ โดยเฉพาะของสัตว์ดุร้าย, เมล็ดโกโก้, เกลือ ไปจนถึง หอยเบี้ย ซึ่งเริ่มใช้ที่จีนและแพร่หลายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ก่อนจะพัฒนาเป็น เงินโลหะ ตามรูปแบบเฉพาะของแต่ละพื้นที่

ขึ้นมาชั้นสอง ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงเหรียญกษาปณ์ไว้เป็นโซนได้อย่างน่าสนใจและง่ายต่อการเรียนรู้ ในยุคที่มีวิวัฒนาการของเงินตราไทย ตั้งแต่มีการใช้ เงินพดด้วง ในสมัย สุโขทัยและอยุธยา ที่มีตราสัญลักษณ์แตกต่างกันไป ไปจนถึงเงินตราร่วมสมัยจากอาณาจักร ล้านนา, ล้านช้าง และเงินตราภาคใต้ ซึ่งมีเงินพดด้วงชิ้นสำคัญ คือ พดด้วงทองคำตราพระมหามงกุฎ-พระแสงจักร ที่ รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้จัดทำขึ้นเพื่อพระราชทานในโอกาสสำคัญ หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ การเปลี่ยนผ่านจากเงินพดด้วงสู่ เหรียญกษาปณ์ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งสะท้อนพัฒนาการด้านเทคโนโลยีการผลิตเงินของไทย และให้ตั้งโรงกษาปณ์ผลิตเหรียญเงินตราขึ้นใช้ในระบบเศรษฐกิจจนถึงปัจจุบัน

เมื่อเดินเข้าสู่โซนจัดแสดงเหรียญกษาปณ์ รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในห้องสะสมที่อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน มีบรรยากาศทั้งคลาสสิกและใกล้ชิด ผ่านการจัดแสดงเหรียญหลากหลายทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ เหรียญมากมายที่จัดแสดงไว้อย่างทรงคุณ เราขอเก็บความประทับใจเล็กๆน้อยๆ จากเหรียญกษาปณ์ไทยในแต่ละยุคสมัย ที่แต่ละเหรียญล้วนบอกเล่าเรื่องราวสำคัญของชาติ เริ่มจาก เหรียญเงินพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ที่ด้านหลังเป็นตราแผ่นดิน ซึ่งยังไม่มีปีที่ผลิต จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2444 จึงเริ่มมีการระบุปีบนเหรียญ
ตลับเงินที่ระลึกงานพระบรมศพรัชกาลที่ 5 ซึ่งบรรจุเหรียญปี พ.ศ. 2453, เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 6, เหรียญเงินพระบรมรูป-ตราช้างทรงเครื่อง 50 สตางค์ และเหรียญยุคเปลี่ยนผ่านที่เริ่มผลิตจากต่างประเทศในสมัย รัชกาลที่ 7 ได้แก่ เหรียญนิกเกิลและทองแดง ที่มี ตราอุณาโลม-พระแสงจักร หรือที่รู้จักกันในชื่อ เหรียญสตางค์รู ชนิดราคา 5 และ 1 สตางค์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2472 พระองค์ยังทรงโปรดให้มีการผลิต เหรียญประจำรัชกาล โดยใช้พระบรมรูป(ของแต่ละรัชกาล)-ตราช้างทรงเครื่อง ซึ่งมีทั้งชนิดราคา 50 สตางค์ และ 25 สตางค์ ทำให้เราได้เห็นถึงวิวัฒนาการของเงินตราไทย

เดินชมมาถึงโซนจัดแสดงเหรียญกษาปณ์จากหลากหลายประเทศ ที่ทำให้เราเหมือนได้ออกเดินทางรอบโลกผ่านเหรียญเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราว เหรียญที่จัดแสดงแต่ละชิ้นมีรูปแบบและดีไซน์แปลกตา เช่น เหรียญที่ระลึกรูปแทสมาเนียนเดวิล สัตว์ประจำถิ่นของออสเตรเลีย, เหรียญดอกไม้ หลากชนิดที่สื่อถึงความงดงามตามฤดูกาล, เหรียญรูปหัวใจฉลองวันวาเลนไทน์ปี 2014, เหรียญภาพพลุเฉลิมฉลองปีใหม่ที่อ่าวซิดนีย์, เหรียญนักบุญจอห์น ปอลที่ 2 และที่น่าตื่นตาเป็นพิเศษคือ เหรียญที่บรรจุเศษชิ้นส่วนดาวตกและอุกกาบาต อย่างเหรียญจากดาวตกชาสซินยี ที่ทำให้รู้สึกเหมือนได้สัมผัสจักรวาลใกล้ชิด ส่วนสุดท้ายของการจัดแสดงเป็นเหรียญที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ที่กรมธนารักษ์จัดสร้างขึ้นในวาระโอกาสต่างๆ อีกโซนจะมีเกมการเรียนรู้ในการทดลองทำส่วนผสมต่างเพื่อผลิตเหรียญ และนำเสนอเรื่องราวการวิวัฒนาการเงินตรา สู่การใช้สื่อกลางในรูปแบบใหม่ เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต และ ระบบธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน

จบทริปได้เวลาให้ร่างกายได้พักผ่อนที่ ดีวานา เซนท์ชัวร่า สปา (Thailand Tourism Awards รางวัล Silver Awards ประเภทการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สาขาสปา) ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสมคิด ย่านชิดลม บรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่น เหมือนหลบมาจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ที่นี่มีทรีตเมนต์ให้เลือกหลากหลายตามความต้องการของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น นวดอโรม่า นวดไทย ที่ นวดหน้า ก็มีโปรแกรมเฉพาะช่วยดูแลอย่างตรงจุดทีเดียว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ร้อยเอ็ดจัดแข่งกีฬานักเรียน ปลูกฝังคุณธรรม-สำนึกชาติไทย
ที่สนามกีฬากลางจังหวัดร้อยเอ็ด นายเอกภาพ พลซื่อ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็น
‘สมศักดิ์-อนุชา’ ลุยบางบาล ฟังเสียงชาวบ้านน้ำท่วม สานต่อแผนจัดการน้ำปี 54
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุชา นาคาศัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรสหกรณ์ ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย พร้อม
🛑LIVE ธุรกิจรับจ้าง ‘จัดฉาก’ ในสมรภูมิ..ไทย-เขมร | จับจ้องมองโลก
ธุรกิจรับจ้าง ‘จัดฉาก’ ในสมรภูมิ..ไทย-เขมร จับจ้องมองโลก : วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2568
‘ธรรมนัส-ยศสิงห์’ ผนึกเกษตรฯ-อุตฯ ลงพื้นที่นครปฐม ย้ำงานรัฐต้องเดิน แม้เลือกตั้ง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จับมือกระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าทำงานเชิงรุกลงพื้นที่จังหวัดนครปฐม เปิดงาน “โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ ในพระราชานุเคราะห์สมเด็จพระบรมโอ
‘มาดามหยก’ นำก้าวอิสระ เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ สู้ศึกปี 2569
"มาดามหยก" ปลุกพลังเงียบส่งพรรคก้าวอิสระลงสนาม ชู 3 แคนดิเดตนายกฯ จากคนธรรมดาสู่การเมืองจิตอาสาเพื่ออนาคตปี 2026
‘สมศักดิ์-อนุชา’ ลุยอยุธยา รับฟังชาวนา เจอปัญหาข้าวดีด-ต้นทุนพุ่ง
“สมศักดิ์-อนุชา” พาผู้สมัคร “จิรทัศ” ลงพื้นที่อยุธยา รับฟังปัญหาเกษตรกร เจอปัญหา”ข้าวดีด”หลังห้ามเผาฟาง ทำต้นทุนผลิตสูง ไร่ละ 6,000 บาท ชาวนาหวังช่วยการันตีข้าวดิบตันละ 8,000 บาท แนะ แก้ปัญหายั่งยืน ทำกฎหมายข้าว คิดต้นทุนใหม่-ให้กำไรเกษตรกร 30% ขอเชื่อมั่น เพื่อไทย ทำได้อย่างแน่นอน

