กติกาเลือกตั้งใหม่ ยกระดับป้องกันทุจริต หาเสียงล่วงหน้า 180 วัน เริ่ม 24 กันยา


ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม 'ดร.ณัฎฐ์' นักกฎหมายมหาชน

ในอดีตที่ผ่านมากฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.จะกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการและข้อห้ามไว้โดยมีกรอบระยะเวลาเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส.เป็นต้นไปถึงวันเลือกตั้ง จะเห็นได้จาก การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการทั่วไปในปี 2562 เป็นการใช้บังคับตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ได้ยกระดับมาตรการปราบโกงอย่างเข้มข้น

จะเห็นได้จาก ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 ที่บัญญัติไว้ในหมวด12 ส่วนที่ 4 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้แก่ 1)กรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฎิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2)เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไม่ว่ากรณีใดๆ(ใบดำ) และ3)ร่ำรวยผิดปกติหรือทุจริตต่อหน้าที่ โดยเฉพาะบทบัญญัติในมาตรา 235 วรรคสี่ ที่ว่า “ผู้ใดถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไม่ว่าในกรณีใด ผู้นั้นไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดํารงตําแหน่งทางการเมืองใด ๆ” ถือว่าเป็นการประหารชีวิตทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ฉบับปัจจุบัน ได้กำหนดกติกาใหม่ ในเรื่อง กรอบระยะเวลาในการหาเสียงและค่าใช้จ่ายในการหาเสียงล่วงหน้า โดยมีการเขียนซ่อนไว้ ในมาตรา 68,73 ซึ่งมีโทษรุนแรง โดยเฉพาะว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง กระทำฝ่าฝืนในมาตรา 73 อาจโดนใบดำถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต หรือ กรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิด อาจถูกยุบพรรคการเมืองได้ หลักเกณฑ์กรอบระยะเวลานี้ ถือว่าเป็นครั้งแรก เป็นมาตรการยกระดับปราบปราบการทุจริต ที่ให้หน้าที่และอำนาจ กกต.จัดการเลือกตั้งโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ตามมาตรา 224 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560

ดังนั้นหากว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.หรือพรรคการเมือง หากไม่ศึกษาแง่มุมข้อกฎหมายให้ละเอียด จะทำให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.หรือพรรคการเมืองตายน้ำตื้น ซึ่งโทษร้ายแรง ประหารชีวิตทางการเมือง รวมทั้งอาจถูกยุบพรรคการเมืองได้ หากพิจารณาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 68 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ให้อำนาจ กกต.กรณีกำหนดหลักเกณฑ์หาเสียงล่วงหน้าไว้ 2 ประการ คือ

ประการแรก เพื่อประโยชน์แห่งความเที่ยงธรรม

ประการที่สอง ความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ให้ กกต. กําหนด วิธีการหาเสียงเลือกต้ังให้ผู้สมัครและพรรคการเมือง ต้องปฏิบัติ วิธีการหาเสียงเลือกตั้งดังกล่าว ให้มีผลภายในกําหนดเวลา ดังต่อไปนี้ (1)ในกรณีที่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปอันเนื่องมาจากการครบอายุของสภาผู้แทนราษฎรให้กระทําได้ตั้งแต่หนึ่งร้อยแปดสิบวันก่อนวันครบอายุจนถึงวันก่อนวันเลือกตั้ง (2) ในกรณีท่ีเป็นการเลือกต้ังท่ัวไป อันเนื่องมาจากการยุบสภา หรือการเลือกต้ังแทนตําแหน่งท่ีว่าง ให้กระทําได้ ตั้งแต่วันที่ยุบสภาหรือวันที่ตําแหน่งว่างลง แล้วแต่กรณีจนถึงวันก่อนวันเลือกตั้ง(3) ในกรณีมีการสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ให้กระทําได้ตั้งแต่วันที่มีคําสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ จนถึงวันก่อนวันเลือกตั้ง(4) ในกรณีมีการสั่งให้มีการออกเสียงลงคะแนนใหม่ ผู้ใดจะหาเสียงเลือกต้ังมิได้ เว้นแต่ คณะกรรมการจะมีมติเป็นอย่างอื่นโดยคํานึงถึงความสุจริตและเที่ยงธรรม

หลักเกณฑ์ข้างต้น กฎหมายกำหนดให้ กกต.กำหนดวิธีการหาเสียงล่วงหน้า เกี่ยวข้องกับฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารปัจจุบันในโค้งสุดท้ายก่อนครบวาระอายุสภาครบในวันที่ 24 มีนาคม 2566 คือ กรณีรัฐบาลอยู่ครบวาระหรือรัฐบาลยุบสภาคืนอำนาจให้แก่ประชาชน เลือกตั้งใหม่ ซึ่งมีผลทางกฎหมายและการนับระยะเวลาแตกต่างกัน แยกเป็น 2 กรณี ดังนี้

1)ประการแรก กรณีรัฐบาลอยู่ครบวาระ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 102 “เมื่ออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45 วันนับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฏรสิ้นอายุ” เงื่อนไขจะต้องปฎิบัติตาม พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 68(1) กรอบระยะเวลาหาเสียงล่วงหน้าภายใน 180 วันนับแต่วันที่ 24 กันยายน 2565 ถึงวันที่ 24 มีนาคม 2566 ตามกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ให้นับเพียงเท่านี้ แต่ท่านต้องนับระยะเวลาที่ให้ กกต.กำหนดวันเลือกตั้งภายใน 45 วันตามรัฐธรรมนูญด้วย ถอดรหัสคณิตศาสตร์ทางการเมือง คือ (180 วัน +45 วัน รวม 225 วัน)

2) ประการที่สอง กรณียุบสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 103 วรรคท้าย ภายในห้าวันนับแต่วันที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฏรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการทั่วไป ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 45 วันแต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันที่มีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ กรณีรัฐบาลชิงความได้เปรียบยุบสภา ยุบสภาวันไหน กฎหมายให้นับวันนั้น(วันยุบสภา) เป็นข้อยกเว้นประการแรก ตาม พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 68(2) การนับระยะเวลาในการหาเสียงล่วงหน้าไม่นับช่วงเวลา 180 วัน แต่ให้จำไว้ว่า “ยุบสภาวันใด ให้นับเกณฑ์การหาเสียงในวันนั้น”หากถอดรหัสคณิตศาสตร์ทางการเมือง ได้แก่ ยุบสภาวันใด ให้นับวันนั้น+ 5 วันนับแต่วันที่มีพระกฤษฎีกา+ระยะเวลากำหนดวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 45 วัน ไม่เกิน 60 วัน

ผลทางกฎหมาย กรณีรัฐบาลอยู่ครบวาระ

1)ค่าใช้จ่ายในการหาเสียงล่วงหน้า กรอบระยะเวลา 180 วัน +45 วัน จะต้องนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการหาเสียงตามระยะเวลาดังกล่าวไปแจกแจงต่อ กกต.

2)มาตรา 68 กำหนดให้ กกต.กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ หาเสียงล่วงหน้า กรอบระยะเวลา 180 วัน ซึ่งในมาตรา 73 ได้บัญญัติข้อห้ามไว้ กรณีฝ่าฝืนมีโทษทางอาญา รวมทั้ง กกต.อาจให้ใบแดง การเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไม่ว่ากรณีใดๆ(ใบดำ) อาจถูกประหารชีวิตทางการเมืองได้ หากคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดตามมาตรา 73 อาจถูกยุบพรรคการเมืองตาม พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ได้

หากพิจารณาถึงกติกาในการเลือกตั้งใหม่ และข้อห้ามต่างๆ เกณฑ์ในการคำนวณค่าใช้จ่าย และบทลงโทษร้ายแรง จะเป็น กับดัก หลุมพราง ที่ทุกพรรคการเมืองจะต้องประสบพบเจอ ดังนั้น การดึงเกมไปจนครบวาระ มีทั้งข้อดี ข้อเสีย หากพิจารณามุมมองในประเด็นกติกาใหม่ ฝ่ายรัฐบาลอาจเพลี่ยงพล้ำ ยกตัวอย่างเช่น การแจกสิ่งของช่วยเหลือประชาชน อาจเข้าข่ายซื้อเสียงล่วงหน้า เป็นข้อห้าม ตามมาตรา 73 ช่องทางแก้โดยวิธีเทคนิค คือ “ยุบสภา” จะเป็นข้อยกเว้นระยะเวลา 180 วัน ซึ่งมาตรา 68 (2) ยุบสภาวันไหน ให้ถือวันยุบสภาเป็นเกณฑ์กำหนดหาเสียงนับหนึ่งแต่วันนั้น นี่คือ “เทคนิคทางกฎหมาย” และ”ช่องว่างกฎหมาย” ผลทางกฎหมาย คือ ชิงความได้เปรียบในสนามการเมือง ทำให้คู่แข่งหยิบประเด็นข้อห้าม การคำนวณค่าใช้จ่ายในการหาเสียงมาคิดคำนวณรวมมากลั่นแกล้งร้องเรียนไม่ได้ เพราะระยะเวลา 180 วันสิ้นผลไป เรียกว่า สับขาหลอกทางการเมือง

กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ได้กำหนดให้ กกต.กําหนดวิธีการหาเสียงเลือกต้ังให้ผู้สมัครและพรรคการเมืองต้องปฏิบัติ ขณะนี้ยังไม่ประกาศระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงตามมาตรา 68 ออกมาบังคับใช้ ดังนั้น หากออกระเบียบ ควรกำหนดแนวทาง วิธีการหาเสียงเลือกตั้งให้ความเป็นธรรมแก่ทุกพรรคการเมือง ต้องมีความชัดเจน แน่นอนในทางปฎิบัติได้ หากเคลือบคลุม สงสัย จะทำให้เกิดการตีความเข้าข้างตนเอง โดยวิธีการหาเสียงโดยเฉพาะในยุคโซเชี่ยลมีเดีย การหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์

อาทิ เฟซบุ๊ก หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ในมาตรา 70 หรือช่องทางวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ ตาม พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 69 ประกอบมาตรา 70 วรรคสอง จะต้องชัดเจนว่า มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการหาเสียงอย่างไร คิดคำนวณค่าใช้จ่ายอย่างไร เพื่อป้องกันข้อร้องเรียน และให้เกิดความเป็นธรรม มาตรฐานเดียวกันทุกฝ่าย ไม่ใช่ว่าฝ่ายรัฐบาลทำได้ แต่ฝ่ายค้านทำไม่ได้ หรือ ส.ส.ทำได้ แต่ว่าที่ผู้เสนอตัวเป็นผู้สมัคร แข่งขันทำไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่า เจตนารมณ์ของพรรคการเมืองให้ประชาชนจ่ายเงินค่าบำรุงพรรค เป็นพรรคการเมืองของประชาชน ควรที่จะให้ทุกพรรคการเมืองมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่า พรรคขนาดใหญ่ทำได้ พรรคขนาดเล็กหรือพรรคที่จัดตั้งใหม่ ทำไม่ได้ เพราะความเหลื่อมล้ำของทุนทางการเมือง ตรงนี้ ต้องมีความเท่าเทียมกัน ส่วนข้อห้ามในการหาเสียงล่วงหน้า ควรเขียนให้ชัดว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เงื่อนไขตามมาตรา 73 ข้อห้ามต่างๆ มาใช้ในการหาเสียงล่วงหน้าตามกรอบระยะเวลา 180 วันด้วยหรือไม่ อย่างไร เพราะเกณฑ์ข้อห้ามกับการนำค่าใช้จ่ายมาคิดคำนวณ จะต้องเป็นกรณีการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่การฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายแล้วนำมาบวกคำนวณเป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งขัดแย้งกัน เพื่อป้องกันข้อสับสนว่า สิ่งไหนเป็นข้อห้าม หรือไม่ห้าม ป้องกันข้อร้องเรียนและการเอาเปรียบระหว่างพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก หรือพรรคการเมืองที่จัดตั้งใหม่ ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเดียวกัน ไม่ใช่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน

ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 73 ได้บัญญัติ “ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนน ไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

(1) จัดทํา ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด

(2) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือ โดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด

(3) ทําการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่าง ๆ

(4) เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด

(5) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง

ดังนั้น เงื่อนไขบังคับก่อน เขียนซ่อนไว้ เป็น”กับดัก””หลุมพราง” ไว้ในกติกากฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ฉบับใหม่ เห็นว่า ส.ส.หรือผู้สมัคร ส.ส.และพรรคการเมือง ที่ทำพื้นที่ทางการเมืองเพื่อเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยหน้า ต้องศึกษาหลักเกณฑ์ วิธีการ หาเสียงล่วงหน้าของ กกต.ที่จะออกระเบียบ กกต.มาบังคับใช้ ตามมาตรา 68 แห่ง พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ละเอียด รอบคอบ มิฉะนั้น ผลของกติกาเลือกตั้ง ส.ส.ฉบับใหม่ อาจถูกใบดำหรือพรรคการเมืองอาจถูกยุบพรรคได้ นี่คือ ผลผลิตยกระดับปราบโกง ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 กติกาใหม่ตามกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด

กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก

กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ

กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้ 

กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444

ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต

ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)

กกต. ไม่มีปัญหาถ้าพรุ่งนี้ยุบสภา ก็พร้อมจัดการเลือกตั้ง-ทำประชามติ

เลขาฯกกต. กล่าวถึงความพร้อมการเลือกตั้งอบต. 11 ม.ค.2569 ว่า เราได้ตื่นตัวและสื่อสารไปยังพื้นที่ และหน่วยงานองค์การบริหารส่วนตำบลที่จะทำการเลือกตั้ง รวมทั้งถ้าจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน