
ทุกๆ 3 ปี ประเทศไทยจะเข้าร่วมการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล หรือที่มักเรียกสั้นๆ ว่า PISA และเมื่อประกาศผลการทดสอบออกมาแทบทุกครั้งจะพบว่า เด็กไทยมีสมรรถนะค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับระดับนานาชาติ คำถามที่ตามมา คือ ทำไมต้องสนใจผลการทดสอบ PISA ด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้เป็นเกณฑ์ในการเข้าเรียนโรงเรียนดังๆ หรือเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงสักหน่อย
คำตอบ คือ การทดสอบนี้เป็นหนึ่งในการทดสอบหลายๆ อัน ที่ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของเยาวชนของชาติที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการศึกษา (ไม่ใช่ผลการทดสอบโดยตรง) นอกจากนี้ การเปรียบเทียบผลการทดสอบรูปแบบเดียวกับนานาประเทศ ช่วยสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศเราอยู่ตรงไหนในเวทีโลก จะสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้มากน้อยเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้น ข้อสอบ PISA เป็นข้อสอบที่พยายามวัดความสามารถของเด็กนักเรียนอายุประมาณ 15 ปี ในการนำเอาความรู้ที่เรียนรู้มาผสมผสานหรือเชื่อมโยงกัน เพื่อแก้ปัญหาที่อาจไม่เคยพบ และอาจเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อนและเป็นนามธรรม (แต่อาจไม่ได้ยุ่งยากในแง่ของการแก้โจทย์ปัญหาเหมือนข้อสอบเข้าโรงเรียนดังในประเทศไทย) หรือที่เรียกว่า ทักษะการคิดขั้นสูง (higher order thinking)
ผลการทดสอบ PISA เป็นเครื่องมือวัดพัฒนาการของระบบการศึกษาที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นแบบทดสอบที่เป็นกลาง สร้างโดยทีมงานที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในประเทศไทย และสามารถนำไปเปรียบเทียบกับนานาประเทศได้ ที่สำคัญ เป็นแบบทดสอบที่สามารถนำเอาผลการทดสอบในแต่ละปีมาเปรียบเทียบกันได้ ช่วยเป็นกระจกที่สะท้อนถึงคุณภาพของระบบการศึกษาของแต่ละประเทศได้อย่างน่าสนใจ อย่างในกรณีของประเทศไทย ผลการทดสอบ PISA มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านการอ่าน ข้อค้นพบนี้ควรจะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งคำถามว่า ทำไมคุณภาพหรือสมรรถนะของเยาวชนของไทยจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่รัฐบาลใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการจัดการศึกษามาโดยตลอด
หลายคนอาจมองว่า เนื่องจากเด็กที่เข้าสอบ PISA เป็นเด็กในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือ 4 ดังนั้น การลดลงของคะแนน PISA น่าจะสะท้อนถึงคุณภาพของการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่ลดลง ต้องเร่งพัฒนาคุณภาพการเรียนในระดับมัธยม แน่นอนว่า การยกระดับคุณภาพการศึกษาในระดับมัธยมย่อมเป็นสิ่งที่ดีหากทำได้จริง และทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือบางคนอาจมองว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนน PISA ของไทยค่อนข้างต่ำ เพราะเด็กไทยไม่คุ้นชินกับแนวข้อสอบ หรือไม่คุ้นชินกับการทำข้อสอบบนคอมพิวเตอร์ ทำให้ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้จัดให้นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ได้ทดลองสอบข้อสอบตามแนวทางของ PISA เพื่อฝึกให้เด็กคุ้นชิน และเท่าที่ทราบ จะมีการจัดทดสอบรูปแบบนี้ทั่วประเทศเร็วๆ นี้ ก่อนที่จะมีการประเมิน PISA จริงรอบถัดไปในเดือนสิงหาคม 2568 อย่างไรก็ตาม คำถามที่สำคัญยิ่งกว่า คือ ควรต้องลงทุนกับเด็กแต่ละช่วงอย่าง เท่าไหร่ อย่างไร เพื่อให้เด็กไทยมีคุณภาพอย่างแท้จริง?
ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสร่วมมือกับ OECD และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดการประเมิน PISA for Schools ซึ่งเป็นการทดสอบที่เทียบเคียงกับการทดสอบ PISA แต่สามารถนำผลการทดสอบ PISA ไปเชื่อมโยงกับผลการทดสอบโอเน็ต (O-NET) ช่วยให้สามารถตรวจสอบได้ว่า ทักษะหรือความสามารถเมื่อจบการศึกษาระดับประถมศึกษา ส่งผลต่อผลการทดสอบ PISA เมื่ออายุ 15 ปี มากน้อยเพียงใด ผลการวิจัย พบว่า ผลการทดสอบ O-NET เมื่อจบชั้นป.6 เป็นปัจจัยหลักที่กำหนดระดับคะแนน PISA โดยจะเห็นได้จาก การที่ฐานะความเป็นอยู่หรือความรวยจนส่งผลต่อระดับคะแนน PISA น้อยมาก (แท่งสีส้มในรูปด้านล่าง) หากเปรียบเทียบเด็กที่มีคะแนนโอเน็ตในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่หากไม่ได้ใส่ใจระดับคะแนนโอเน็ต จะเห็นว่า ฐานะความเป็นอยู่หรือความรวยจนส่งผลต่อระดับคะแนน PISA อย่างมาก (แท่งสีน้ำเงินซึ่งสูงกว่าแท่งสีส้มมาก)
รูปที่ 1 แสดงระดับคะแนน PISA แบ่งตามระดับเศรษฐฐานะของครัวเรือน โดยเปรียบเทียบกับครัวเรือนที่มีระดับเศรษฐฐานะต่ำที่สุด (กลุ่มที่ 1) กลุ่มที่มีเศรษฐฐานะสูงสุด คือ กลุ่มที่ 10
ผลการวิจัยข้างต้นช่วยให้สามารถตอบคำถามที่ว่า ควรต้องลงทุนเมื่อไหร่ จึงจะคุ้มค่าที่สุด? คำตอบ คือ ควรลงทุนตั้งแต่ระดับปฐมวัยและระดับประถมศึกษา ทั้งนี้เนื่องจาก การมีทักษะหรือความสามารถเมื่อจบระดับประถมศึกษาที่ดีกว่า มีส่วนช่วยให้มีโอกาสสูงกว่าที่จะมีทักษะการคิดขั้นสูงเมื่ออายุ 15 ปี ซึ่งเป็นทักษะที่เป้าหมายหลักของการทดสอบ PISA ข้อค้นพบส่วนนี้สอดคล้องกับงานวิจัยของ ศาสตราจารย์ เจมส์ เจ เฮกแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ที่พบว่า การพัฒนาเด็กในช่วงปฐมวัยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตและสร้างความเสมอภาคด้านเศรษฐกิจและสังคมไปพร้อมกันได้
นอกจากนี้ ยังได้มีความพยายามที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการออกข้อสอบสำหรับสอบเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ให้สอดคล้องกับแนวทางของการประเมิน PISA โดยอาศัยหลักการที่ว่า หากปรับเปลี่ยนแนวข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว จะช่วยให้โรงเรียนและนักเรียนเรียนรู้ตามแนวทางที่ผู้จัดการประเมิน PISA ต้องการ คำถามที่ตามมา คือ การเรียนรู้ตามแนวทางการประเมินของ PISA เพียงพอสำหรับการประสบความสำเร็จในการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย เพื่อประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้องหรือไม่? คำตอบเชิงทฤษฎี คือ อาจไม่เพียงพอ เนื่องจากการทดสอบตามแนวทางของ PISA เป็นการประเมินว่า นักเรียนสามารถนำเอาความรู้ที่หลากหลายที่เรียนมาเชื่อมโยงกันเพื่อตอบโจทย์ขั้นพื้นฐานได้หรือไม่ และความรู้ที่ใช้อาจเป็นเพียงความรู้ในระดับพื้นฐานเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากผลการวิจัยข้างต้นที่พบว่า ผลการทดสอบระดับป.6 มีส่วนสำคัญในการกำหนดระดับคะแนน PISA ในขณะเดียวกัน การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย (โดยเฉพาะในด้าน STEM) จำเป็นต้องใช้ความรู้ขั้นสูง นอกจากนี้ ข้อสอบที่ดีควรช่วยให้นักเรียนได้เรียนในคณะหรือสาขาวิชาที่เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการของตน กล่าวคือ ข้อสอบเป็นเครื่องมือในการจับคู่ระหว่างผู้เรียนและสาขาวิชา (matching instrument) ดังนั้น การปรับแนวข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามแนวทางของ PISA จะอาจเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมนัก
ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยของอาจารย์เอวาน รีเอล์ (Evan Riehl) จากมหาวิทยาลัยคอลแนลล์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ศึกษาผลของการเปลี่ยนแนวข้อสอบจากแบบ “เน้นเนื้อหา (content based)” ไปเป็นแบบ “เน้นสมรรถนะ (competency based)” ในประเทศโคลอมเบีย ซึ่งเริ่มใช้ในปี ค.ศ.2000 ผลการวิจัย พบว่า การเปลี่ยนแนวข้อสอบดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยสามารถเรียนจบได้น้อยลง ประมาณร้อยละ 1.3 ที่สำคัญ มีรายได้หลังจากจบการศึกษาลดลง ประมาณร้อยละ 2.4 แน่นอนว่า ข้อสอบที่ใช้ในประเทศโคลอมเบีย อาจแตกต่างจากข้อสอบที่ประเทศไทยจะนำมาใช้ แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องควรนำข้อค้นพบนี้ไปประกอบการพิจารณา เพื่อให้สามารถออกแบบนโยบายที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นโทษต่อผู้เรียนอย่างแท้จริง
บทความ คอลัมน์ พิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ดร วีระชาติ กิเลนทอง
สถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เฉ่ง 'รมช.ศธ.' ส่งเสริมเด็กเรียนไกลบ้าน ไม่เข้าใจหน้าที่ ไม่ยอมรับคุณภาพการศึกษาล้มเหลว
นายพงศ์พรหม ยามะรัต อดีตรองหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า ยิ่งเห็นยิ่งสงสารประเทศ
กระทรวง อว.ลุยยกระดับผลการประเมิน PISA เด็กไทยปี 68
เมื่อวันที่ 25 ก.ย. น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดการประชุมและมอบนโยบายในการส่งเสริมสมรรถนะและความฉลาดรู้ของผู้เรียนตามแนวทางการประเมินระดับนานาชาติ (PISA) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการดำเนินงานตามแนวทางและดำเนินการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับผลการประเมิน PISA จัดโดยสำนักงานปลัดกระทรวง อว.โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล
การพัฒนาเด็กปฐมวัย: สำคัญอย่างไร และควรทำอย่างไร?
ทำไมต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย ยังเล็กเกินไปสอนอะไรก็ยังไม่ได้ ทำอะไรยังไม่เป็น และต้องรอนานมากกว่าจะเห็นผล? เป็นคำถามที่ผมได้รับมาตลอดช่วงเวลาเกือบสิบปี ที่พยายามพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย สังคมไทยมักให้ความสำคัญกับการเรียนในระดับประถมและมัธยมมากกว่า ผู้ปกครองต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้บุตรหลานได้ติวเพื่อสอบเข้าโรงเรียนดังๆ หรือมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ผู้บริหารการศึกษาระดับประเทศไปจนถึงระดับโรงเรียนจึงไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการศึกษาระดับปฐมวัย
'เอกชัย' หนุนอีกเสียงต้องมี 'ศธจ.'กระจายอำนาจ ให้แต่ละจังหวัด ไม่ขึ้นส่วนกลาง ชี้4-5ปีมีแต่แย่งอำนาจ ไม่มีใครออกมารับผิด คุณภาพการศึกษา
สถานการณ์ที่เรื้อรังมาตลอดเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมาระหว่างเขตพื้นที่และศึกษาจังหวัด เมื่อมีการโอนอำนาจการบริหารงานบุคคลไปที่ศึกษาจังหวัด มีแต่การยื้อแย่ง ความรับผิดชอบเรื่องอำนาจบริหารงานบุคคลและอาจรวมถึงการใช้งบประมาณบางประเภท แต่ผมยังไม่เคยเห็น ว่าจะมีกลุ่มใดออกมายื้อแย่งความรับผิดชอบต่อคุณภาพการศึกษาของเด็กที่ตกต่ำลงและขอรับผิดชอบ เหมือนที่จะขอรับผิดชอบการบริหารงานบุคคล


