
การที่ศาลฎีกาฯ สั่งให้ไต่สวนคดีนี้ แสดงให้เห็นว่า The Rule of Law เริ่มสำแดงความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาในบ้านเมืองนี้ คดีนี้ไม่ได้เกี่ยวกับศาลธรรมดา ไม่ใช่ศาลอะไรที่ไหน และยิ่งกว่าศาลยุติธรรมอีก เพราะเขาคือศาลพิเศษ คือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นอำนาจของผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตรวจสอบว่าเมื่อมีข้อเท็จจริงมาว่าทำถูกหรือไม่
นับถอยหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สำหรับเรื่องชั้น 14 รพ.ตำรวจ ที่ "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" นัดไต่สวนในวันศุกร์ที่ 13 มิ.ย.
ขณะที่ก่อนหน้านี้ แพทยสภาก็มีมติลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวและรักษานายทักษิณ ชินวัตร รวม 3 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข จะใช้อำนาจสภานายกพิเศษวีโตมติดังกล่าวหรือไม่ ทำให้ปมเรื่องชั้น 14 รพ.ตำรวจ ยังเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญทางการเมือง
รายการไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด สัมภาษณ์พิเศษ "ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ อดีตประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา, อดีตองค์คณะในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และอดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ" ปัจจุบันรั้งตำแหน่ง คณบดีและผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ในประเด็นข้อกฎหมายเรื่องดังกล่าว ตลอดจนมุมมองต่อเรื่องระบบกระบวนการยุติธรรมประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา
-คดีของนายทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย 22 สิงหาคม 2566 แต่ก็มีการส่งตัวไปรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจในคืนเดียวกัน รวมเป็นเวลา 6 เดือน จนครบกำหนดเข้าสู่การพักโทษ และพ้นโทษในเวลาต่อมา สรุปแล้วนายทักษิณติดคุกแล้วหรือยัง มีการพักโทษ การบริหารโทษที่เหมาะสมหรือไม่ และป่วยทิพย์หรือไม่ กลายเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากมาย มีมุมมองอย่างไรบ้าง?
มีสื่อนำเสนอเรื่องหลักของ The Rule of Law คือที่เราคุยกัน เถียงกัน ซึ่งข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่กระบวนการเพื่อให้เกิดความโปร่งใส เกิดความชัดเจน มันเป็นเรื่องของ The Rule of Law
“การที่ศาลฎีกาฯ สั่งให้ไต่สวนคดีนี้ แสดงให้เห็นว่า The Rule of Law เริ่มสำแดงความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาในบ้านเมืองนี้”
The Rule of Law ก็คือหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นหลักที่ว่าด้วยเรื่องหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ไม่ใช่หลักเกณฑ์ของมนุษย์ Rule of man เพราะคนที่มีอารมณ์ คนที่อยากทำอะไรตามอำเภอใจ ก็จะใช้กฎเกณฑ์ของตัวเองบังคับใช้ ไม่ใช่บังคับใช้โดยกฎหมายที่มันยุติธรรมหรือมันเป็นธรรม ซึ่งมันอยู่เหนือสิ่งใดๆ ทั้งสิ้นเลย
กฎหมายเมื่อออกมาแล้วต้องเป็นกลาง ต้องบังคับใช้กับทุกคนและต้องเป็นธรรม มีความยุติธรรมที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด เราจะไปใช้กฎเกณฑ์ตามความรู้สึกของเรา หรือตามอำเภอใจของเราไม่ได้ เรื่อง The Rule of Law เวลาที่เราจะวินิจฉัยหรือเราจะวิเคราะห์ในเรื่องใดที่เกี่ยวกับกฎหมาย เราต้องมี The Rule of Law ประคับประคองอยู่กับตัวเราหรือจิตใจเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นศาลหรือผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย นี่คือสิ่งแรกเลย
ขอให้ช่วยดูว่าคดีนี้ไม่ได้เกี่ยวกับศาลธรรมดา ไม่ใช่ศาลอะไรที่ไหน และยิ่งกว่าศาลยุติธรรมอีก เพราะเขาคือศาลพิเศษ คือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ผมก็เคยทำคดีแล้วส่งไปให้ท่าน แล้วให้ท่านช่วยไต่สวนอะไรต่ออะไร จนมีการพิจารณาคดีแล้วลงโทษจำคุกเป็นระยะเวลาหลายปี แล้วในที่สุดก็ได้รับพระมหากรุณาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลดโทษให้เหลือหนึ่งปี โทษนี้มาจากการทุจริตคอร์รัปชัน แล้วทำไมถึงได้สร้างศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ก็เพราะแต่เดิมมาการใช้อำนาจศาลในเรื่องของการบังคับโทษหรือลงโทษบุคคลใด ในการใช้ดุลยพินิจมันยากมาก เพราะอะไร เพราะทำกับคนที่มีอำนาจ เขาใช้อำนาจแล้วเขาครอบครองอำนาจรัฐ
เพราะฉะนั้นในกระบวนการจึงต้องมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง แล้ววิธีพิจารณา (วิธีพิจารณาคดี) ก็แตกต่างกัน การบังคับโทษต้องบังคับทันที เราจะเห็นได้ว่าไม่ได้ใช้แค่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเท่านั้น แต่ยังมีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เพราะว่าต้องอาศัยหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ให้มีการจัดตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
จนกระทั่งมาถึงรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็ยังให้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 ออกมาบังคับใช้เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย แล้วก็ยังมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562
อย่าได้หลงทาง ไปหลงทางกันว่าทำไมไม่เอากฎหมายราชทัณฑ์อะไรต่างๆ อะไรก็ตามที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ-ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฯ มันใช้ไม่ได้ เพราะในข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 ในข้อ 61 การบังคับคดีอาญาให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่มีการพูดถึงกฎหมายอื่น รวมถึงคดีแพ่งก็ให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เช่นเพื่อใช้ในการริบทรัพย์สิน เพราะฉะนั้นอย่าหลงทาง อย่าหลงผิด อย่าได้ประเมินศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่าเหมือนกับศาลที่บังคับคดีทั่วๆ ไป
หากเข้าใจตรงนี้ทุกอย่างจะกระจ่างชัดหมด เพราะเป็นอำนาจของผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตรวจสอบว่าเมื่อมีข้อเท็จจริงมาว่าทำถูกหรือไม่ กระบวนการก็ต้องมาดูว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่เป็นต้นเค้าของข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดี ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 ที่เขียนว่าให้ศาลฎีกาฯ ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อะไรที่ขัดหรือแย้งจะทำไม่ได้ต้องเป็นไปตามนี้เลย ที่หมายความว่าต้องมีการทุเลาโดยผู้พิพากษาก่อน หากจะนำตัวออกมาก็ต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 246 อยู่ดีๆ จะไปเอาตัวออกมาไม่ได้ ต้องให้ศาลท่านทุเลาการบังคับ หากมีเหตุเช่นจำเลยวิกลจริต หรือมีเรื่องการตกบกพร่องอะไรก็ตามในการดำเนินการ
-บางคนแย้งว่ามาตรา 246 ดังกล่าวใช้คำว่า "จำเลย" ไม่ได้ใช้คำว่า "ผู้ต้องขัง"?
ก็เป็นจำเลยแล้ว เป็นจำเลย ไม่ใช่ผู้ต้องขัง ตั้งแต่ต้นมาใช้คำจำเลย นิ่มนวลที่สุดแล้ว ในมาตรา 246 ที่ระบุว่า “เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำ หรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุก ร้องขอ หรือ เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อน จนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีต่อไปนี้ (1) เมื่อจำเลยวิกลจริต (2) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก (3) ถ้าจำเลยมีครรภ์ และ (4) ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น”
เพราะฉะนั้น ในระหว่างทุเลาการบังคับ ทางราชทัณฑ์จะออกอะไรมาก็ตาม ก็ต้องให้มีอันนี้ก่อนเป็นสารตั้งต้น
-คล้ายกับว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีศักดิ์เหนือกว่า พ.ร.บ.ราชทัณฑ์?
กฎหมายที่เป็นหลักเราก็รู้กันดีอยู่แล้ว ประมวลกฎหมายไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ใครจะมาเถียงว่าฉันเหนือกว่า ไม่ต้องมาเถียงอะไร เพราะมีการเขียนไว้แล้วว่า ให้ผู้พิพากษาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะฉะนั้นต้องมาดูตรงนี้
ตอนที่เริ่มมีการตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หลังมีการใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ผมเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์คณะของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ตอนนั้นประธานศาลฎีกาก็มาช่วยกันคัดเลือกว่าจะให้ใครมาประจำที่แผนก ก็เลือกกันมาสามคน ห้าคน ตามข้อกำหนดที่ออกมา เพื่อที่จะสั่งคดี หากมีข้อโต้เถียงอะไรกัน ตอนนั้นก็มีกันสามคน เราก็ได้มีการถนอมและอภิบาลให้องค์กรนี้มีความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการใช้ระบบไต่สวน ที่ก็รู้กันอยู่ว่าเราไม่คุ้นเคย เพราะเราคุ้นเคยกับระบบกล่าวหา ก็มีการค้นคว้ากันอย่างหนัก ช่วยกันวางระบบ เราก็เข้าใจกันดีว่าเป็นเรื่องยาก และคนมักจะลืมว่า ศาลฎีกานี้เป็นศาลซึ่งทรงไว้ซึ่งอำนาจของเขาโดยเฉพาะเลย ใช้เฉพาะกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เพราะฉะนั้นการถูกจำคุก ไม่ใช่จำคุกธรรมดาปกติเหมือนกับคดีทั่วไป เป็นศาลพิเศษ มีกฎหมายพิเศษ แล้วก็เขียนรองรับเอาไว้ว่า ผู้พิพากษาต้องจัดการให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้วจะต้องไปถกเถียงอะไรกับใครอีก ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ใช่ศาลกิ๊กก๊อก ไม่ใช่ศาลข้างถนนจะทำยังไงก็ได้
-ก็มีการพูดว่าการบังคับโทษเป็นเรื่องของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ศาลไม่เกี่ยว?
อันนั้นไม่ใช่ The Rule of Law แล้ว Rule of Man หรือ "Rule by Law" การปกครองโดยใช้กฎหมายแต่อาจกลายเป็นกฎหมู่ก็ได้ ไม่มีหลักมีเกณฑ์
ศาลฎีกาฯ ไต่สวน 13 มิ.ย. ดูข้อเท็จจริงทั้งหมด
เหมือนกับที่แพทยสภาดำเนินการ
-การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีอย่างนายทักษิณ สุดท้ายแล้วจะต้องไต่สวนแล้วมีปมการพิจารณาอย่างไร ดูจากข้อเท็จจริงหรือกฎหมาย หรือทั้งสองอย่าง?
ก็ต้องดูข้อเท็จจริงทั้งหมดเลย เหมือนกับที่แพทยสภาเขาดำเนินการ เราก็จะเห็นได้ว่าได้ทำอย่างรอบคอบ และสมบูรณ์ในส่วนของแพทยสภา ก็ต้องอาศัยหลักวิชา และไม่ใช่วิชาอะไรก็ได้ ต้องเป็นหลักวิชาการด้านกฎหมาย และต้องทำให้ประชาชนได้เห็นว่าหลักนิติธรรมยังมีอยู่จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีปัญหาตั้งแต่ต้นก็คือว่า คนที่เกี่ยวข้องก็คือฝ่ายโจทก์ ที่คืออัยการ แต่บางคดีก็เป็นป.ป.ช. การที่จะได้รับสิ่งที่ดีๆ ตามหลักนี้หรือไม่ โจทก์ต้องคอยสอดส่องดูแลด้วย ไม่ใช่เหมือนคดีทั่วไป ฟ้องแล้วฟ้องเลย ก็บ๊ายบาย ไม่ทำอะไรอีกแล้ว ไม่ได้
เพราะการบังคับใช้กฎหมายเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและสำคัญมากในการปราบปรามการทุจริต law enforcement มีความสำคัญที่สุด เพราะการจะลงโทษจริงหรือไม่ หากว่าลงโทษแบบใช้เล่ห์กระเท่ห์ ใช้ความมัวหม่นของถ้อยคำแล้วทำให้คนหลุดพ้นจากความผิด คนเขาจะเชื่อถือว่าการทุจริตคอร์รัปชันจะได้รับการปราบปรามจริงหรือไม่ ที่มีจุดสำคัญที่อยู่ในจุดท้ายก็คือ การบังคับใช้กฎหมาย law enforcement หากบังคับใช้กฎหมายแบบไม้หลักปักเลน จะทำยังไงก็ได้ ในที่สุดแล้วมันก็จะไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกัน อย่างคดีบอส
-ในการรับทราบรับรู้ คิดว่าถึงตอนนี้นายทักษิณ ได้ติดคุกหนึ่งปีแล้วหรือยัง?
ไม่สามารถวินิจฉัยได้ เพราะขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแล้ว คนอื่นจะแทรกแซงไม่ได้
ผมให้แต่เรื่องหลักการ ที่ก็คือ 1.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นศาลพิเศษ พิเศษที่สุดเลยในประเทศนี้ แล้วก็เป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่นด้วย ประเทศอื่นเขาก็มีในบางประเทศ แต่เขาก็จับตามองดูประเทศไทยว่าที่ใช้ระบบศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คุณจะจัดการได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือไม่ หรือว่าเป็นไม้หลักปักเลน
2.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้เกิดขึ้นแบบเลื่อนลอย แต่ตั้งขึ้นมาตามรัฐธรรมนูญ มีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 เรื่อยมาถึง รธน.ปี 2550 และ รธน.ฉบับปัจจุบันปี 2560 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ได้รับการยอมรับตลอดมา กระบวนการทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นตามใจชอบ แต่ต้องการจัดการกับปัญหาทุจริต หากเราจัดการไม่ได้ มีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็เสียเปล่า
คนที่ทำหน้าที่ในราชทัณฑ์ ไม่ใช่คนที่บังคับใช้กฎหมายโดยสมบูรณ์แบบอยู่คนเดียว จะเห็นว่าคนที่เป็นต้นธารของการบังคับใช้กฎหมายก็คือศาล โดยที่ตำรวจ อัยการก็มีส่วนเกี่ยวข้อง เวลาที่จะบังคับใช้กฎหมาย เราต้องอาศัยทุกฝ่ายอย่างสมบูรณ์แบบ...การเอาออกจากระบบราชทัณฑ์ ในขณะที่ถูกบังคับโทษมันต้องเป็นข้อยกเว้น ต้องอยู่ในมือของศาล คือศาลต้องรับรู้ด้วย ต้องช่วยพิจารณาด้วย ที่ก็ต้องเริ่มจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าต้องทุเลาโทษด้วยหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้อง
-รวมความแล้วเรื่องนี้ก็ต้องดูทั้งกฎหมายและข้อเท็จจริง?
และดูเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วย เพราะเจตนารมณ์ของกฎหมายคือหัวใจของหลักนิติธรรม
-ถ้าผมเป็นนายทักษิณ ผมต้องหนาวไหมแบบนี้?
เราอย่าไปคาดเดาอะไรเลย ที่ผมพูดก็เพื่อให้เราได้ตระหนักรู้ ที่เรียกกัน awareness คือตระหนักรู้ว่าสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ของบ้านนี้เมืองนี้ ก็คือการขาดการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังตามหลักนิติธรรม
-ช่วงหลังมีการวิจารณ์กันมาก เช่นบางคนถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต บางคนโดน 20 ปี แต่สุดท้ายแล้วการบังคับโทษบางคนติดคุกจริงๆ ไม่กี่ปี เช่น 6 ปี 7 ปี จนคนพูดกันว่ากรมราชทัณฑ์ใหญ่กว่าศาลยุติธรรมอีก คิดว่าเรื่องนี้เกิดจากอะไรและควรแก้อย่างไร?
สมัยที่ตรวจสอบคดีบอส (เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 เป็นคณะกรรมการที่ตั้งในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ก็พบว่าความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียมกัน ความรู้สึกของผู้คนที่เห็นว่ามีความไม่เท่าเทียมกัน การมองของคนทั้งคนนอกและคนใน แล้วก็มองกันตาปริบๆ
เราก็รู้กันอยู่ว่ามันบกพร่องเพราะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญเลย เรื่องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เช่นการปฏิรูประบบงานสอบสวน การปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูประบบงานยุติธรรม ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ แต่ก็อย่างที่เห็นปฏิรูปสำเร็จหรือไม่? เพราะว่ากระทบต่ออำนาจของผู้คนที่เคยชินกับอำนาจ จนไม่อยากปล่อยอำนาจที่อยู่ในมือเพราะเกรงจะกระทบถึงตัวเอง
-การบังคับโทษ การบริหารโทษ ที่เป็นอำนาจของงานราชทัณฑ์ควรได้รับการปฏิรูปเหมือนกัน?
ต้องมาดูว่าคนที่ทำหน้าที่ในราชทัณฑ์ ไม่ใช่คนที่บังคับใช้กฎหมายโดยสมบูรณ์แบบอยู่คนเดียว จะเห็นว่า คนที่เป็นต้นธารของการบังคับใช้กฎหมายก็คือศาล โดยที่ตำรวจ อัยการก็มีส่วนเกี่ยวข้อง เวลาที่จะบังคับใช้กฎหมาย เราต้องอาศัยทุกฝ่ายอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างบางครั้งผมก็เห็นด้วยว่า เราก็จำเป็นต้องเอาเขา (นักโทษ) ออกไปยังสถานที่อื่นซึ่งมีการรักษาอย่างดี แต่ระบบตอนนี้ผมก็ทราบมาว่า รพ.ราชทัณฑ์ก็สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ไปโจมตีราชทัณฑ์ (รพ.)
เพราะไม่อย่างนั้นก็แสดงให้เห็นว่าพื้นฐานของเราไม่มีความยุติธรรม คือหากคุณเป็นผู้ต้องขัง ก็ต้องเอาออกนอกระบบราชทัณฑ์เสมอไป
การเอาออกจากระบบราชทัณฑ์ ในขณะที่ถูกบังคับโทษมันต้องเป็นข้อยกเว้น ต้องอยู่ในมือของศาล คือศาลต้องรับรู้ด้วย ต้องช่วยพิจารณาด้วย ที่ก็ต้องเริ่มจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าต้องทุเลาโทษด้วยหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้อง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
🛑LIVE คิด - วิเคราะห์ - แยกแยะ!! ภาพร่วมเฟรม 'เจ้าพ่อสแกม' | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ :วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้
🛑LIVE ละครการเมือง คว่ำน้ำเงิน!? | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : พุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568
🛑LIVE เปิดโฉม..'ตัวซีเครท-บิ๊กเนม' พรรคไหนเข้าวิน !? | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568


