มากไปกว่าการต่อรองผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเปิดเจรจาภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ยังแฝงด้วยวัตถุประสงค์และความคาดหวังทางการเมือง เราจึงอยากชวนทุกท่านวิ่งออกจากอ่างความโกลาหลเรื่องตัวเลข แล้วมองเกมยาว
อะไรคือแรงจูงใจของ “ทรัมป์” ที่ต้องการเร่งปิดดีลเจรจา และอะไรที่อยู่เบื้องหลังการประกาศใช้ยาแรงกับประเทศคู่ค้าที่เหลืออยู่ รวมถึงประเทศไทย และกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) อีกด้วย
ชวนมาตีแผ่ความคิดของทรัมป์ ผ่านมุมมองของ ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เริ่มต้นด้วยการตอบข้อถามถึงความเชื่อมโยงระหว่างท่าทีของทรัมป์ กับการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐในสหรัฐอเมริกาที่จะมีขึ้นช่วงเดือน พ.ย. ทั้งในรัฐนิวเจอร์ซีย์และเวอร์จิเนียซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครต ตลอดจนการเลือกตั้งในระดับรัฐบาลท้องถิ่นต่างๆ ว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่ ซึ่ง “ดร.ปองขวัญ” วิเคราะห์ว่า เหตุการณ์เหล่านี้ไม่น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ทรัมป์เร่งปิดดีลทางการค้าในช่วงเวลานี้
ดร.ปองขวัญ อธิบายว่า แม้จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐในนิวเจอร์ซีย์และเวอร์จิเนีย รวมถึงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองใหญ่ เช่น นิวยอร์ก บอสตัน และพิตต์สเบิร์กในเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่เหตุการณ์เหล่านี้ไม่น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ผลักดันให้ทรัมป์เร่งปิดดีลทางการค้าในช่วงเวลานี้ เพราะโดยทั่วไป การเลือกตั้งระดับรัฐและท้องถิ่นไม่ส่งผลโดยตรงต่อการเมืองระดับชาติ อีกทั้งรัฐที่จัดการเลือกตั้งในรอบนี้ เช่น นิวเจอร์ซีย์และเวอร์จิเนีย ล้วนเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต ไม่ใช่รัฐเป้าหมายของทรัมป์หรือพรรครีพับลิกัน จึงไม่ใช่สนามแข่งขันที่มีเดิมพันสูงพอจะกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวเชิงนโยบายเฉพาะกิจ อีกทั้งการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นก็ไม่ได้ส่งผลต่อดุลอำนาจในสภาคองเกรสโดยตรง จึงไม่เกี่ยวข้องกับการผ่านกฎหมายหรือวาระหลักของทรัมป์ในขณะนี้
ทว่าในทางกลับกัน การเร่งเจรจาข้อตกลงกับต่างประเทศ รวมถึงการใช้วาทกรรม America First และแรงกดดันต่อพันธมิตร อาจสะท้อนความพยายามของทรัมป์ในการสร้าง “ชัยชนะเชิงสัญลักษณ์” เพื่อตอกย้ำภาพผู้นำที่แข็งแกร่ง ก่อนเข้าสู่ช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2026 ซึ่งจะส่งผลต่อสมดุลในสภาคองเกรสมากกว่า
จากการสรุปเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พบว่ามี 8 ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถลดอัตราภาษีได้มากกว่า 3% ได้แก่ ลาว เมียนมาร์ กัมพูชา ศรีลังกา อิรัก บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มอลโดวา และตูนิเซีย ขณะที่อีก 4 ประเทศสามารถลดภาษีได้ในระดับเล็กน้อยไม่เกิน 2% คือ บังกลาเทศ เซอร์เบีย คาซัคสถาน และลิเบีย ส่วนกลุ่มที่ไม่สามารถลดกำแพงภาษีได้เลยมีอยู่ 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย แอลจีเรีย แอฟริกาใต้ และเกาหลีใต้ และยังมีอีก 8 ประเทศที่ไม่เพียงเจรจาไม่สำเร็จ แต่ถูกสหรัฐฯ เพิ่มอัตราภาษีขึ้น ได้แก่ บราซิล แคนาดา เม็กซิโก สหภาพยุโรป บรูไน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
เมื่อพิจารณารายชื่อเหล่านี้โดยรวม อาจไม่พบรูปแบบที่ชัดเจนในทันทีว่าเหตุใดบางประเทศจึงเจรจาสำเร็จ ขณะที่บางประเทศไม่สามารถปิดดีลได้ แต่หากวิเคราะห์เบื้องต้นจะเห็นว่า ประเทศที่เจรจาไม่สำเร็จส่วนใหญ่มักเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจพอสมควร เช่น ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบราซิล ซึ่งต่างจากประเทศกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการเจรจา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศขนาดเล็กหรือมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่ซับซ้อนกับสหรัฐฯ
อีกหนึ่งปัจจัยที่มีน้ำหนักคือความใกล้ชิดทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์กับจีน โดยเฉพาะในมิติของห่วงโซ่อุปทาน สหรัฐฯ มีความกังวลต่อประเทศที่อาจถูกใช้เป็นช่องทางสวมสิทธิสินค้าจีน หรือเป็นจุดเชื่อมสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นสินค้ายุทธศาสตร์ที่กำลังอยู่ในศูนย์กลางของการแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ
ประเทศอย่างไทย มาเลเซีย และเกาหลีใต้ล้วนมีฐานการผลิตหรือเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก จึงอาจถูกสหรัฐฯ ประเมินว่า “ยังไม่สามารถให้สิทธิพิเศษทางภาษีได้” หากยังไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะอยู่ฝั่งใดในสมรภูมินี้
ขณะเดียวกัน ประเทศอย่างญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ที่มีสถานะเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ในด้านความมั่นคง ก็กลับไม่สามารถปิดดีลภาษีได้เช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่า ในหลายกรณี ผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในประเด็นการแข่งขันด้านเทคโนโลยี อาจมีน้ำหนักมากกว่าความสัมพันธ์ทางการทูตในเชิงสัญลักษณ์
น่าสนใจว่า การดำเนินการด้วยท่าทีที่หนักแน่นเพื่อตอกย้ำ America First จะสร้างคะแนนความนิยมให้กับ “ทรัมป์” เพิ่มขึ้นหรือไม่ ตลอดจนภาพรวมความพึงพอใจของคนสหรัฐฯ ต่อนโยบายดังกล่าวเป็นอย่างไร
ดร.ปองขวัญ ตอบว่า คะแนนความไม่พึงพอใจต่อผลงานของทรัมป์ในปัจจุบันยังคงสูงกว่าคะแนนความพึงพอใจ โดยผลสำรวจล่าสุดจากหลายสำนักชี้ว่า คะแนนนิยมของทรัมป์อยู่ที่ประมาณ 40-43% ซึ่งต่ำกว่าช่วงเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม ที่อยู่ประมาณ 48-53%
อย่างไรก็ตาม คะแนนนิยมที่ลดลงในระยะหลัง ไม่ได้มาจากนโยบายภาษีโดยตรง แต่สะท้อนความผิดหวังของประชาชนต่อผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องค่าครองชีพที่ยังไม่ลดลงตามคำสัญญา และการผ่านกฎหมาย Big Beautiful Bill ซึ่งมีการตัดลดงบประมาณของโปรแกรม Medicaid ที่ให้ประกันสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ รวมถึงการตัดความช่วยเหลือด้านอาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อย ทำให้ผู้ได้รับผลกระทบเริ่มตั้งคำถามต่อแนวทางเศรษฐกิจของทรัมป์
อีกหนึ่งประเด็นที่สร้างแรงเสียดทานในหมู่ฐานเสียงของเขาเองคือ นโยบายการกวาดล้างผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร ซึ่งเริ่มส่งผลต่อทัศนคติของชาว Latinx บางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีสมาชิกในครอบครัวหรือชุมชนใกล้ชิดกับแรงงานอพยพเหล่านี้ แม้ทรัมป์จะยังคงได้รับการสนับสนุนจากฐานเสียงดั้งเดิม แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณการถดถอยในบางกลุ่มที่เคยหันไปลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เช่น กลุ่มคนผิวดำและกลุ่มชนชั้นกลาง
ชวนนักวิชาการธรรมศาสตร์ท่านนี้หันกลับมามองที่ “ทีมไทยแลนด์” คำถามคือเราสามารถเรียนรู้และใช้ประโยชน์อะไรจากข้อมูลเหล่านี้ได้บ้าง
ดร.ปองขวัญ ให้ความเห็นว่า โดยรวมแล้ว ทีมไทยแลนด์มีความเข้าใจต่อปัจจัยทางการเมืองภายในของสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่ดี ตัวอย่างหนึ่งคือข้อเสนอที่เปิดโอกาสให้นำเข้าสินค้าเกษตรและปศุสัตว์จากสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งตรงกับฐานเสียงสำคัญของพรรครีพับลิกันและโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะในรัฐที่พึ่งพาอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาให้ลึกลงไป ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเจรจาต่อรองเรื่องภาษีกับทรัมป์อาจไม่ใช่ประเด็นทวิภาคีระหว่างไทย–สหรัฐฯ แต่คือท่าทีของไทยต่อจีน โดยเฉพาะการควบคุมการสวมสิทธิ์ของสินค้าจีน และการแสดงจุดยืนในประเด็นห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยี เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งในข้อแรกนั้นทีมไทยแลนด์ได้พยายามหยิบยกในเวทีเจรจาแล้ว
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ ลักษณะของ “ชัยชนะที่จับต้องได้” ที่ทรัมป์ต้องการ ประเทศคู่ค้าจึงอาจถูกกดดันให้เสนอการลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ในรูปแบบตัวเลขที่ชัดเจน มากกว่าการลดมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ซึ่งทรัมป์อาจมองว่าสื่อสารกับสาธารณชนได้ยากและไม่นับเป็น “ชัยชนะทางการเมือง” เท่ากับการลดภาษีแบบเป็นเปอร์เซ็นต์ ดังเช่นกรณีเวียดนามที่ลดภาษีสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 0% ซึ่งถูกใช้เป็นกรณีตัวอย่าง
อย่างไรก็ดี หากแนวโน้มการเจรจาในยุคทรัมป์ต้องการ “ข้อตกลงที่เป็นรูปธรรม-มีตัวเลขชัดเจน” มากกว่ากระบวนการค่อยเป็นค่อยไป ไทยอาจต้องเผชิญแรงกดดันในการปรับโครงสร้างนโยบายที่มีผลต่อผู้ผลิตในประเทศ และไม่ใช่ทุกข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่จะสอดคล้องกับผลประโยชน์แห่งชาติของไทยโดยตรง
ทีมไทยแลนด์จึงอาจต้องเตรียมพร้อมสำหรับการต่อรองที่เข้มข้นยิ่งขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
'อนุทิน' ลั่นเป็นนายกฯต้องรับผิดชอบ ปท. มั่นใจสถานการณ์ขัดแย้งไม่ถึงวันเลือกตั้ง
‘อนุทิน’ เผยคนเป็นนายกฯลอยตัวไม่ได้ ต้องรับผิดชอบต่อประเทศ เผยคุย ‘ทรัมป์’บอกไทยตอบโต้แรง สวนกลับส่งคลิปยิงจรวด BM-21 พิสูจน์ใครแรงกว่าใคร อัด ผู้นำเขมร มีสิทธิ์อะไรเอาดาวเทียมมาจับการปฏิบัติการทางทหารไทย มั่นใจสถานการณ์ขัดแย้งไม่ถึงวันเลือกตั้ง
‘สุริยะใส’ ชี้ไทยกล้าพูด ‘ไม่’ กับสหรัฐฯ คือสัญญาณเปลี่ยนเกมภูมิรัฐศาสตร์
รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยรังสิต วิเคราะห์ท่าทีผู้นำไทยที่ไม่ยอมอ่อนข้อด้านความมั่นคงตามแรงกดดันจากสหรัฐฯ มองเป็นการขยับสถานะประเทศจากผู้ตามสู่รัฐที่มีอำ
‘สว.นพดล’ ขอบคุณ 'ทรัมป์-อันวาร์' แต่ย้ำชัดไม่ต้องเข้ามายุ่งเรื่อง 2 ประเทศ
ขอบคุณแต่ไม่ต้อง! 'สว.นพดล' ขอบคุณ 'ทรัมป์-อันวาร์' ปรารถนาดีเข้ามาช่วย แต่ชายแดน 2 ประเทศควรให้ตกลงกันเอง สวน 'ธนาธร' หลังโพล่ง ถ้า 'พิธา' เป็นนายกฯ สถานการณ์คงไม่ถึงวันนี้ บอกควรสมัครสมานสามัคคีช่วยทหาร เผยอังคารนี้ สว.จ่อเคาะยกเลิก MOU 44 แล้ว
ไทยต้องฟังใครไหม ‘อนุทิน’กร้าว! ‘ทรัมป์’ มั่วเหยียบกับระเบิดเป็นอุบัติเหต
"ประธานาธิบดีสหรัฐ" ยกหูคุยผู้นำ "ไทย-เขมร" แล้ว พอวางสายพูดไปคนละทาง "ทรัมป์" แสบมาก! โพสต์ในโซเชียลอ้างทหารไทยเหยียบกับระเบิดเป็นอุบัติเหตุ
ชัดพอมั้ย! 'อนุทิน' ยืนยัน 4 ทุ่ม ไม่หยุดยิง กัมพูชาต้องถอย ผู้นำประเทศอื่นไม่ควรเสนอ
นายกฯ ยัน ไม่มีหยุดยิง 22.00 น. ตาม ”อันวาร์“ โพสต์ จี้กัมพูชา ต้องแสดงความจริงใจ-เสนอข้อดำเนินการมาที่ประเทศไทย ไม่ใช่ให้ผู้นำประเทศอื่นมาพูด ซัดกลับปมปิดด่าน บอก คนไทยมีสิทธิ์กลับบ้าน ขออย่าเอาประชาชนมาเป็นตัวประกัน ด้าน เสธ.ทบ. ไล่ไปถามครอบครัวทหารที่เสียชีวิตว่าเป็นอย่างไร

