
ที่ปรึกษา หลักสูตรสหสาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บทความนี้เริ่มต้นจากข้อสังเกตเกี่ยวกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจสองตัวที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ตัวชี้วัดแรกคือ GPP per capita (ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว) จากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่แสดงให้เห็นว่า จังหวัดระยองมี GPP per capita สูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ แซงหน้ากรุงเทพมหานครไปเกือบเท่าตัว โดย 5 อันดับแรกประกอบด้วย ระยอง กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา (ข้อมูลปี 2565) ในทางกลับกัน ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) กลับชี้ให้เห็นว่า กรุงเทพมหานครเป็นจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนสูงที่สุด ตามมาด้วย นนทบุรี ปทุมธานี และระยอง (ข้อมูลปี 2566)
ตัวเลขที่สวนทางกันนี้ ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ความแตกต่างของตัวชี้วัด: ศักยภาพเชิงพื้นที่ vs ศักยภาพของทุนมนุษย์
ความสงสัยในข้อขัดแย้งข้างต้นสามารถคลี่คลายได้ เมื่อเราเข้าใจความหมายของตัวชี้วัดแต่ละตัว
ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว (GPP per capita) คำนวณจากมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตขึ้นภายในจังหวัด หารด้วย จำนวนประชากรในจังหวัดนั้น โดยไม่สนใจว่าผู้ที่สร้างมูลค่าเพิ่มนั้นจะเป็นใครหรือมาจากที่ใด ดังนั้น ค่านี้จึงสะท้อนถึง ศักยภาพของพื้นที่ ในการดึงดูดการลงทุนและสร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกัน รายได้ต่อคนของแต่ละจังหวัด ที่สำนักงานสถิติแห่งชาติเก็บข้อมูลนั้น สะท้อนถึง รายได้ที่ครัวเรือนได้รับจริงจากทุกแหล่งที่มา ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง หรือรายได้เสริมอื่นๆ ข้อมูลนี้จึงเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงอำนาจการใช้จ่ายและสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนั้นๆ โดยตรงมากกว่า
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จังหวัดระยองซึ่งเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติจำนวนมหาศาล ทำให้ GPP per capita สูงที่สุดในประเทศ เพราะมูลค่าการผลิตจำนวนมากเกิดขึ้นในพื้นที่นั้น แต่เนื่องจากรายได้ส่วนหนึ่งจากการผลิตตกไปอยู่กับบริษัทหรือบุคลากรที่มาจากต่างถิ่น โดยเฉพาะจากต่างประเทศและจากกรุงเทพมหานคร ทำให้รายได้เฉลี่ยของคนระยองไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม GPP ที่สูงลิ่ว
กล่าวโดยสรุป GPP per capita แสดงถึงศักยภาพในการสร้างมูลค่าของพื้นที่ ส่วน รายได้ต่อหัวแสดงถึงศักยภาพในการสร้างรายได้ของคนในพื้นที่ ความแตกต่างนี้สามารถต่อยอดไปสู่กรอบความคิดในการกำหนดนโยบายหรือยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการสร้างความสามารถในการแข่งขันและในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ
กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการสร้างความสามารถในการแข่งขันผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ
จากกระแสข่าวในปัจจุบันพบว่า ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยถดถอยลง เหตุสำคัญเป็นเพราะไทยไม่สามารถผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลกแล้ว ทำให้สินค้าไทยไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ จึงมีความจำเป็นที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยด้วยการสร้างศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่ม
การตอบโจทย์ดังกล่าวจำเป็นต้องยกระดับศักยภาพของประเทศในการสร้างมูลค่าเพิ่ม ผ่านยุทธศาสตร์ 3 เสาหลัก ได้แก่
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาให้พื้นที่ในประเทศมีศักยภาพสร้างมูลค่าเพิ่ม: เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของพื้นที่ เพื่อดึงดูดการลงทุนและส่งเสริมการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง การลงทุนหลัก ๆ จะครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานใน 5 มิติสำคัญ ดังนี้
- โครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค หมายถึงระบบพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น ระบบน้ำประปา ระบบจัดการน้ำเสีย ระบบกำจัดขยะ และระบบระบายน้ำที่ดี โครงสร้างเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานได้ต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงจากปัญหาสิ่งแวดล้อม
- โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง ได้แก่ ถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ และสนามบิน ซึ่งเป็นเครือข่ายหลักในการเคลื่อนย้ายคน สินค้า และบริการ การมีระบบขนส่งที่รวดเร็วและเชื่อมโยงกันดีช่วยลดเวลาการขนส่ง รับวัตถุดิบได้ทันเวลา ส่งสินค้าถึงลูกค้าได้รวดเร็ว และลดต้นทุนโลจิสติกส์ ทำให้ธุรกิจในพื้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน
- โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ระบบที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การส่งและการจ่ายพลังงาน เช่น โรงไฟฟ้า สายส่งไฟฟ้าแรงสูง และสถานีจ่ายก๊าซธรรมชาติ สร้างความมั่นใจว่าการผลิตในพื้นที่จะไม่หยุดชะงักจากปัญหาไฟฟ้าดับหรือพลังงานไม่เพียงพอ และมีต้นทุนด้านพลังงานที่สมเหตุสมผล รวมถึงการใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานสีเขียวยังเพิ่มคุณค่าทางการตลาดและตอบโจทย์การค้าระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม
- โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ ระบบที่ใช้ในการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร เช่น คลองส่งน้ำ และระบบระบายน้ำ ช่วยให้การเกษตรในพื้นที่มีผลผลิตที่แน่นอนและมีคุณภาพ ทำให้สามารถพัฒนาไปสู่การผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปที่มีมูลค่าสูงได้ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่มก็จะได้รับวัตถุดิบที่มีคุณภาพและราคาคงที่
- โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล หมายถึงเครือข่ายและเทคโนโลยีการสื่อสาร เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบโทรคมนาคม และศูนย์ข้อมูล (Data Center) โครงสร้างนี้ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและธุรกิจบริการด้านดิจิทัลเข้ามาลงทุน ช่วยให้พื้นที่กลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนและผู้ประกอบการให้มีศักยภาพสร้างมูลค่าเพิ่ม: ยุทธศาสตร์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา ทุนมนุษย์ หรือทรัพยากรบุคคลรวมถึงผู้ประกอบการในประเทศให้มีคุณภาพและศักยภาพสูงขึ้น เพื่อให้พวกเขาสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ยุทธศาสตร์นี้จัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพและด้านการจัดการที่จำเป็นต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ใน 3 มิติ ดังนี้
- การสร้างทักษะในการใช้ชีวิต เป็นการเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพและมีความสุข ประกอบด้วย ทักษะที่ช่วยให้แต่ละบุคคลสามารถเผชิญกับความท้าทายในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่น การบริหารจัดการอารมณ์, และ การจัดการการเงินส่วนบุคคล
- การสร้างทักษะในการประกอบอาชีพ เป็นการพัฒนาทักษะและสมรรถนะที่ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการผลิตสินค้าและบริการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
- การสร้างสุขภาวะที่ดี หมายถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ โรงพยาบาล คลินิก และศูนย์สุขภาพชุมชน เพื่อให้ประชาชนและบุคลากรในพื้นที่มีสุขภาพที่ดี สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมได้อย่างเต็มที่
- ยุทธศาสตร์การสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem): เพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทั้ง 2 ด้านข้างต้น หมายถึงการใช้กลไกทางด้านกฎระเบียบและด้านการเงิน และมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนันให้ยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่และยุทธศาสตร์การพัฒนาทุนมนุษย์ข้างต้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น เช่น
- การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การให้สิทธิประโยชน์ต่างๆแก่การลงทุนในพื้นที่จะช่วยดึงดูดการลงทุน อย่างไรก็ดี ควรผูกสิทธิประโยชน์นั้นกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้คนในพื้นที่ ก็จะช่วยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาทุนมนุษย์ไปพร้อมกันด้วย เท่ากับยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว
- การใช้มาตรการทางกฎหมาย เช่น ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนต่างชาติ กฎหมายการแข่งขันทางการค้า และกฎหมายล้มละลาย เพื่อสร้างความโปร่งใสและกระตุ้นให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่และเกิดการลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ
- การเจรจาทางเปิดเสรีการค้ากับนานาประเทศ เพื่อให้ได้อัตราภาษีต่ำในการนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักรได้ และในการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ อย่างไรก็ดี มาตรการนี้จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งเสริมความสามารถของผู้ประกอบการไทยที่จะรับมือกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ราคาถูกลงจากอัตราภาษีนำเข้าที่ลดลง
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อนวัตกรรม ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนา และใช้มาตรการทางการเงินและภาษีเพื่อจูงใจให้คนและธุรกิจหันมาลงทุนด้านนวัตกรรมมากขึ้น
- การสร้างหลักประกันด้านสุขภาพและความมั่นคงในชีวิต เมื่อผู้คนมีสุขภาพที่ดีและความมั่นคงในชีวิต พวกเขาก็จะมีความพร้อมทั้งกายและใจในการทำงานและการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ สามารถทุ่มเทให้กับอาชีพและการพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่ เช่น ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และนโยบายสร้างความมั่นคงทางที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน โดยผ่านโครงการบ้านของ HDB (Housing and Development Board) ของสิงคโปร์ ช่วยลดความกังวลด้านที่อยู่อาศัยให้คนในสิงคโปร์ จนสามารถทุ่มเทศักยภาพในการทำงานและพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่
สรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างยุทธศาสตร์ทั้งสามด้าน ทั้งนี้ ความสำคัญเชิงสัมพัทธ์ของยุทธศาสตร์แต่ละด้านอาจแตกต่างกันไปตามระยะของการพัฒนาประเทศ ดังนี้
ระยะเริ่มต้นของการพัฒนาประเทศเป็นการพัฒนาจากประเทศรายได้ต่ำเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ในระยะนี้ ประเทศมักเผชิญกับข้อจำกัดในทุกด้าน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทุนมนุษย์ และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยังไม่เอื้ออำนวย ทั้งนี้ การยกระดับศักยภาพของพื้นที่ด้วยการโครงสร้างพื้นฐานจะมีความสำคัญที่สุด เพื่อเป็นการวางรากฐานสำหรับการเริ่มต้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเชื่อมโยงประเทศเข้าสู่โซ่อุปทานของโลก หากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเพียงพอ เช่น ถนนที่อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงพื้นที่ต่างๆของประเทศ การพัฒนาศักยภาพของทุนมนุษย์จะถูกจำกัดตามไปด้วย
ระยะถัดมาจะเป็นระยะการพัฒนาจากประเทศรายได้ปานกลางเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่พัฒนา เมื่อประเทศก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศรายได้ปานกลางและมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีในระดับหนึ่งแล้ว บทบาทของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชิงพื้นที่จะลดลง และหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของคนและผู้ประกอบการเป็นหลัก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและนวัตกรรม การส่งเสริมผู้ประกอบการและการสร้างโอกาสในการใช้ทักษะจะกลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ โดยลดบทบาทของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆลง ให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่
ประเทศไทยในปัจจุบันได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชิงพื้นที่จนสามารถยกระดับเป็นประเทศรายได้ปานกลางแล้ว จึงถึงเวลาที่เราต้องสลัดทิ้งกับดักความสำเร็จในอดีตที่พึ่งพิงการพัฒนาเศรษฐกิจกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพเชิงพื้นที่ และหันมาให้ความสำคัญกับ การพัฒนาศักยภาพของคนและผู้ประกอบการไทย อย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนและขับเคลื่อนอย่างเต็มที่
ถึงเวลาที่เราต้องพัฒนาประเทศโดยมีทุนมนุษย์เป็นศูนย์กลางไม่ใช่โครงสร้างพื้นฐานเป็นศูนย์กลาง ถ้าเราพัฒนาศักยภาพเชิงพื้นที่ของประเทศจนดีเลิศ แต่ละเลยที่จะพัฒนาคนในประเทศให้มีความสามารถให้ทัดเทียมกัน ก็จะมีคนเก่งจากประเทศอื่นมาตักตวงประโยชน์จากศักยภาพเชิงพื้นที่ของประเทศเรากลับบ้านเขาไป ในทางกลับกัน ถ้าคนของเรามีศักยภาพสูง พวกเขาก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพเชิงพื้นที่ของประเทศได้อย่างเต็มที่ และอาจก้าวไปสู่การใช้ประโยชน์จากศักยภาพเชิงพื้นที่ของประเทศอื่นได้ด้วยเช่นกัน

คอลัมน์ พิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ดร. สมพงษ์ ศิริโสภณศิลป์
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นักวิชาการ มธ. เชื่อ ‘จีดีพี Q4’ 1.1% ไม่เกินจริง หนุนรัฐปูพรมถก FTA ดันส่งออก
นักวิชาการธรรมศาสตร์ เชื่อมีความเป็นไปได้ที่จีดีพีไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 1.1% ชี้แม้ไม่บรรลุผลเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ


