
เตือนเจ้าหน้าที่ว่าหากคิดจะทำอะไรให้ทำให้ดีๆ อย่าทำแบบเดิม เพราะหากทำแบบเดิมจะมีปัญหาเหมือนที่เกิดขึ้นในคดีชั้น 14 เรื่องชั้น 14 เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องมีปัญหาร่วมด้วยแน่นอน โดยเฉพาะบุคคลที่ศาลฎีกาฯ เอ่ยชื่อไว้ในคำสั่งเตรียมรับคดีได้...
แม้ "ทักษิณ ชินวัตร" จะเข้าคุกไปแล้วเมื่อ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามคำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่เรื่อง "ป่วยทิพย์-ชั้น 14" ยังไม่จบแค่นี้ ยังมีอีกหลายบริบทต้องติดตาม เช่นการไต่สวนเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งในส่วนของกรมราชทัณฑ์และ รพ.ตำรวจ ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะนำคำสั่งของศาลฎีกาฯ เข้ามาประกอบในสำนวนการไต่สวนที่ ป.ป.ช.ตั้งไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งหลังมีคำสั่งของศาลฎีกาฯ ออกมาคงทำให้ ป.ป.ช.ปิดสำนวนคดีดังกล่าวได้เร็วขึ้น
ขณะเดียวกัน วิบากกรรมทางคดีความของทักษิณอาจไม่จบแค่นี้ เพราะมีความเห็นทางข้อกฎหมายจาก "คมสัน โพธิ์คง นักวิชาการกฎหมายอิสระ อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 และเป็นหนึ่งในทีมฝ่ายกฎหมายร่วมกับนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ไต่สวนการบังคับโทษนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คดีชั้น 14 ที่ได้ร่วมเดินทางไปฟังการอ่านคำสั่งของศาลฎีกาฯ เมื่อ 9 ก.ย.ที่ผ่านมาด้วย" ให้ความเห็นในเชิงข้อกฎหมายว่า ปัญหาเรื่องคดีความของนายทักษิณยังไม่จบ แม้จะมีการบังคับโทษส่งตัวนายทักษิณเข้าเรือนจำไปแล้วเมื่อ 9 ก.ย. เพราะในรายละเอียดคำสั่งของศาลฎีกาฯ ชี้ว่ากระบวนการบังคับโทษกับนายทักษิณไม่เป็นตามกฎหมาย คำสั่งดังกล่าวระบุว่าตัวนายทักษิณมีส่วนร่วม มีส่วนได้ประโยชน์จากการกระทำทั้งหมด ศาลจึงเชื่อว่านายทักษิณมีส่วนเกี่ยวข้อง มีส่วนร่วมโดยตรง ทำให้เกิดการกระทำข้างต้น จึงให้กลับไปจำคุกใหม่ภายในหนึ่งปี ทำให้เรื่องนี้สามารถขยายผลเอาผิดนายทักษิณเพิ่มเติมอีกได้ ส่วนรายละเอียดเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร นักวิชาการด้านกฎหมายผู้นี้จะมาอธิบายแบบลงรายละเอียด
แต่เริ่มแรกเลย เราขอให้ "คมสัน" ให้มุมมองถึงคำสั่งของศาลฎีกาฯ เมื่อ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเขาสรุปใจความสำคัญของคำสั่งนี้ก่อนจะไปลงรายละเอียดเรื่องการเอาผิดทักษิณเพิ่มเติมว่า คำสั่งของศาลฎีกาฯ ทางองค์คณะฯ เชื่อว่าทักษิณไม่ป่วย ซึ่งในคำสั่งของศาลฎีกาฯ ดังกล่าวเริ่มด้วยการหักล้างข้อโต้แย้งของจำเลยคือนายทักษิณ เช่นที่บอกว่าศาลฎีกาฯ ไม่มีอำนาจในการพิจารณาการบังคับโทษ รวมถึงเรื่องที่นายทักษิณโต้แย้งว่าการที่ศาลฎีกาฯ เข้ามาไต่สวน เป็นกระบวนการพิจารณาคดีซ้ำ ที่ในคำสั่งของศาลฎีกาฯ บอกไว้หมด โดยย้ำว่าศาลฎีกาฯ มีอำนาจในการพิจารณาไต่สวนการบังคับโทษดังกล่าว และไม่ได้เป็นการพิจารณาซ้ำ จากนั้นก็มีการลงรายละเอียดเรื่องที่นายทักษิณบอกว่าตัวเองป่วย ในคำสั่งก็มีการลงรายละเอียด ที่ในคำสั่งศาลฎีกาฯ ชี้ว่า นายทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤต แต่เป็นป่วยเรื้อรัง ซึ่งเงื่อนไขที่ต่างกันของการป่วยวิกฤตกับป่วยเรื้อรังคือ หากป่วยวิกฤตต้องส่งตัวไปรักษา ไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์เป็นการเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้นั้น แต่การป่วยเรื้อรังคือการป่วยที่รักษาตัว ทานยา แล้วคอยประคับประคองตัวเองไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องไปอยู่สถานพยาบาล
...ศาลฎีกาฯ จึงชี้ว่านายทักษิณป่วยเรื้อรังไม่ได้ป่วยวิกฤต และลงรายละเอียดว่าจาก 10 ข้อที่เป็นอาการป่วยของนายทักษิณ พบว่า 7 ข้อเป็นการป่วยเรื้อรัง และศาลฯ วินิจฉัยว่าในส่วนของโรงพยาบาลนั้น ในวันที่ส่งตัวไม่มีการส่งตัวไป รพ.ราชทัณฑ์ และไม่มีแพทย์ของ รพ.ราชทัณฑ์มาตรวจก่อน แต่มีการส่งตัวนายทักษิณไป รพ.ตำรวจ ไม่ส่งไปรพ.ราชทัณฑ์ ที่เป็นการไม่ทำตามกระบวนการและระเบียบของกรมราชทัณฑ์ และเมื่อไปถึงแล้วก็ไม่ได้ไปอยู่ห้องฉุกเฉิน แต่พาตัวไปที่ชั้น 14
...และที่บอกเป็นโรคหัวใจ ก็ต้องทำการตรวจคลื่นหัวใจ หรือปั๊มหัวใจภายในเวลาอันรวดเร็ว แต่มีการปล่อยไว้ข้ามวัน โดยไม่ปรากฏอาการโรคหัวใจที่ชี้ให้เห็นวันรุ่งขึ้น และแพทย์ที่รับก็ไม่ใช่แพทย์ที่เชี่ยวชาญโรคหัวใจแต่เป็นศัลยแพทย์ และอาการเจ็บป่วยที่มีการผ่าตัดนิ้วล็อก การผ่าตัดเอ็นไหล่ โดยศาลมองว่าไม่ใช่การป่วยที่เป็นวิกฤต เพราะนิ้วล็อกใช้เวลาไม่นานก็สามารถกลับไปพักตัวเองได้ การผ่าไหล่ก็เป็นเหตุที่เกิดขึ้นหลังมาอยู่ชั้น 14 แล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องวิกฤต
...คำสั่งของศาลมองว่านายทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤตที่จะไปอยู่ รพ.นาน 120 วันและในคำสั่งกล่าวถึง การกระทำของกรมราชทัณฑ์เพื่อต่ออายุการนอน รพ.ตำรวจให้นายทักษิณในช่วงต่างๆ เมื่อครบกำหนด เช่น 60 วัน ครบ 120 วัน โดยอาศัยใบรับรองของแพทย์ที่แพทย์ไม่ได้บอกว่าให้อยู่ต่อ (รพ.ตำรวจ) แต่เป็นใบที่บอกอาการของนายทักษิณ แต่ทางราชทัณฑ์ก็นำใบรับรองแพทย์ดังกล่าวมาเป็นเงื่อนไขในการที่จะทำให้นายทักษิณอยู่ภายนอกเรือนจำ คือมีการต่อเวลาไปเรื่อยๆ เพื่อให้นอนอยู่ รพ.ตำรวจ ตรงนี้คำสั่งของศาลฎีกาฯ ก็ชี้ให้เห็นถึง "ความผิดปกติ" ในเรื่องเหล่านี้ โดยชี้ว่าทักษิณไม่ได้ป่วย ที่ก็ส่งผลต่อเรื่องการรักษาพยาบาลที่อยู่รพ.ตำรวจเป็นเวลานาน จนส่งผลต่อการพักโทษ
"และในคำสั่งของศาลฎีกาฯ ชี้ว่ากระบวนการทั้งหมดที่ทำ นายทักษิณมีส่วนร่วม มีส่วนได้ประโยชน์จากการกระทำทั้งหมด ศาลจึงเชื่อว่านายทักษิณมีส่วนเกี่ยวข้องมีส่วนร่วมโดยตรง ทำให้เกิดการกระทำข้างต้น คำสั่งของศาลฎีกาฯ จึงชี้ว่ากรณีนายทักษิณเป็นการบังคับโทษที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย จึงให้กลับไปจำคุกใหม่ภายในหนึ่งปี ตามที่มีประกาศพระบรมราชโองการ"
วิบากกรรมทักษิณยังไม่จบ!
เมื่อถามว่า หลังจากนี้นายทักษิณสามารถใช้สิทธิ์อะไรได้บ้าง บางคนบอกว่าคงติดคุกไม่นาน อีกสักพักก็อาจกลับไปอยู่บ้านติดกำไลอีเอ็มเพราะได้รับการพักโทษ "คมสัน" ให้ความเห็นว่า ต้องถามว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะกล้าอย่างไรหรือไม่ เพราะกรณีของนายทักษิณมีคนจ้องอยู่แล้ว เพราะหากจะไปใช้สถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำคุมขังแทนนั้น ก็จะมีขั้นตอนต่างๆ เช่น ต้องมีการประกาศก่อนว่าจะให้สถานที่ใดเป็นสถานที่คุมขัง ที่หมายถึงอาจไม่ใช่นายทักษิณคนเดียวที่ไปอยู่ที่นั่น แต่ต้องเป็นสถานที่ซึ่งนักโทษคนอื่นไปอยู่ด้วยได้ เพราะอย่างที่มีคนบอก หากจะใช้บ้านจันทร์ส่องหล้าเป็นสถานที่คุมขังนอกเรือนจำ ก็ต้องให้นักโทษคนอื่นไปอยู่ด้วย จึงจะถือเป็นสถานที่คุมขัง ไม่ใช่ทำเพื่อนายทักษิณคนเดียว
...เตือนเจ้าหน้าที่ว่าหากคิดจะทำอะไรให้ทำให้ดีๆ อย่าทำแบบเดิม เพราะหากทำแบบเดิมก็จะมีปัญหาเหมือนที่เกิดขึ้นในคดีชั้น 14 เรื่องชั้น 14 เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องมีปัญหาร่วมด้วยแน่นอน โดยเฉพาะบุคคลที่ศาลฎีกาฯ เอ่ยชื่อไว้ในคำสั่งก็เตรียมรับคดีได้ เพราะในคำสั่งที่ผมฟังตอนไปร่วมฟังการอ่านคำสั่งของศาลฎีกาฯ ก็คือ มีเจ้าหน้าที่มีพฤติการณ์ที่ทำให้ผู้ต้องขัง (นายทักษิณ) ไม่ต้องติดคุก ที่เป็นความผิดอาญา ส่วนการที่หากนายทักษิณจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่ตัวการ ดูแล้วคงลำบาก เพราะศาลฎีกาฯ บอกว่าตัวเขาเองมีส่วนในการตัดสินใจการรักษาและได้ประโยชน์ในการตัดสินใจรักษาต่างๆ แล้วอาการต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่นายทักษิณแจ้งกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ (วันส่งตัวไป รพ.ตำรวจ) ไม่ใช่เป็นการตรวจพบโดยแพทย์
เพราะฉะนั้น การที่นายทักษิณจะอ้างว่าตัวเองไม่ใช่ตัวการหรืออะไรก็แล้วแต่ ในสายตาของนักกฎหมายโดยทั่วไปก็มองว่านายทักษิณเป็นตัวการ หรือผู้สนับสนุนในการกระทำนั้น ความผิดของนายทักษิณจากกรณีนี้มันมีอยู่ส่วนหนึ่ง และความผิดเจ้าหน้าที่ซึ่งกระทำการ ที่นายทักษิณต้องไปรับผิดด้วยในฐานะตัวการหรือผู้สนับสนุนอีกส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วยังมีคดีอีกเยอะหลังจากนี้ที่จะตามมาเป็นพรวน เพราะก็มีเรื่องอยู่ในคณะกรรมการ ป.ป.ช.อยู่
ยกตัวอย่างคำสั่งของศาลฎีกาฯ ระบุว่า การบังคับโทษไม่เป็นไปตามมาตรา 55 ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ และไม่ได้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 โดยเมื่อกรณีนายทักษิณไม่ได้มีการให้บังคับโทษให้ถูกต้องตามมาตรา 55 พบว่ามาตรา 55 วรรคท้าย บัญญัติว่า "ถ้าผู้ต้องขังไปเสียจากสถานที่ที่รับผู้ต้องขังไว้รักษาตัว ให้ถือว่ามีความผิดฐานหลบหนีที่คุมขังตามประมวลกฎหมายอาญา" ซึ่งในประมวลกฎหมายอาญาก็อยู่ในมาตรา 190 บัญญัติว่า ผู้ใดหลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของศาล ของพนักงานอัยการ ของพนักงานสอบสวน หรือของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งตรงนี้้ต้องมีการกล่าวโทษ เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์หรือ ป.ป.ช.ที่ต้องกล่าวโทษ แต่เข้าใจว่านายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ คงไปติดตามต่อ โดยกรณีนี้เป็นการกระทำความผิดร่วมกันหลังศาลฎีกาฯ มีการไต่สวนพยานบุคคลรวม 31 ปาก โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐประมาณ 20 กว่าปากที่มีส่วนร่วม ซึ่งในวรรคสองของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 190 บัญญัติว่า "ถ้าความผิดดังกล่าวมาในวรรคแรกได้กระทำโดยแหกที่คุมขัง โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" อันนี้ก็มีเรื่องของโทษห้าปี ซึ่งนอกจากความผิดตามมาตรา 190 ประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ก็ยังมีความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปร่วมกระทำการ ซึ่งจากคำสั่งของศาลฎีกาฯ จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องต้องไปรับผิดทางอาญาอีกหลายมาตรา เช่น มาตรา 157, มาตรา 184, มาตรา 203, มาตรา 204 ของประมวลกฎหมายอาญา เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ส่วนใหญ่ก็จำคุกกัน 1-10 ปี
...นายทักษิณที่ในคำสั่งของศาลฎีกาฯ ระบุว่ามีส่วนรู้เห็นกับการกระทำและมีส่วนได้ประโยชน์จากการกระทำ ก็อาจทำให้นายทักษิณโดนร่วมฟ้องด้วยในฐานเป็นตัวการหรือผู้ร่วมสนับสนุน โดยหากเป็นตัวการก็รับผิดเท่าตัวผู้กระทำ แต่หากเป็นผู้สนับสนุนก็รับโทษน้อยกว่า เป็นเรื่องที่นายทักษิณต้องผจญกับเวรกรรมกับเจ้าหน้าที่รัฐอีกหลายคน ที่ก็อยู่ในเรื่องเดียวกันกับที่ตอนนี้เจ้าหน้าที่รัฐที่มีชื่อถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนอยู่ (รวม 12 คน) โดยเจ้าหน้าที่รัฐคนใดมีความผิดเรื่องอะไร ป.ป.ช.ก็ดำเนินคดี แล้วนายทักษิณก็ต้องถูกดำเนินคดีด้วยในฐานะตัวการหรือผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ตามความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ 12 คน โดยต้องมีคนไปร้องเพิ่มต่อ ป.ป.ช.ให้เอาผิดนายทักษิณ ที่ทาง คปท.คงอาจไปร้องเพิ่มต่อ ป.ป.ช.ในเร็วๆ นี้ให้เอาผิดนายทักษิณเพิ่มด้วย จากที่เคยตั้งอนุกรรมการไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐไว้เดิม 12 คน
"คมสัน" ย้ำว่า การดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐมีการทำแบบต่างกรรมต่างวาระ เรื่องเอกสารก็วาระหนึ่ง การส่งตัวนายทักษิณไป รพ.ตำรวจก็อีกหนึ่งวาระ โดยในช่วงที่นายทักษิณอยู่ รพ.ตำรวจ อย่างน้อยเอกสารต่างๆ ที่เป็นเอกสารที่เป็นเท็จเพื่อให้มีการช่วยเหลือมันมากกว่าหนึ่งครั้ง ก็อาจจะเป็นความผิดลักษณะหนึ่งกรรมแต่ต่างวาระกันที่อาจแตกออกไปหลายการกระทำในความผิดฐานเดียวกัน คืออาจทำผิดประมวลกฎหมายอาญา, พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 4-5 ข้อหา แต่มีการกระทำอาจเป็นสิบครั้งก็ได้ ก็อาจเป็นสิบกระทงก็ได้ จากคำสั่งของศาลฎีกาฯ จะมีผลกระทบต่อคดีของนายทักษิณในอนาคตอีกเยอะ ซึ่งคดีอื่นๆ หากตามมาอาจใช้สิทธิ์การได้รับการลดโทษอีกไม่ได้ ผมได้พิจารณาดูแล้วต่ำๆ อาจจะโดนอีก 6-8 ปี อันนี้ขั้นต่ำ แต่ถ้ารวมทุกการกระทำอาจจะถึง 40 ปี
นอกจากนี้ "คมสัน" ยังกล่าวถึงเรื่องการยื่นถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานลดโทษเมื่อ 31 สิงหาคม 2566 ที่นายทักษิณยื่นถวายฎีกา มีข้อความตอนหนึ่งว่า นายทักษิณได้รับโทษไปแล้วสิบวัน (คุมขัง) แต่เมื่อคำสั่งของศาลฎีกาฯ ชี้แล้วว่านายทักษิณไม่เคยได้รับโทษเลย จึงสั่งให้กลับไปติดใหม่หนึ่งปี ในคำสั่งศาลฎีกาฯ ไม่ได้ระบุว่าให้หักลบ 10 วันดังกล่าวออกไปด้วย โดยให้จำคุกเต็มหนึ่งปี ก็แสดงว่านายทักษิณไม่เคยติดคุกเลย
ดังนั้นที่เคยยื่นถวายฎีกาฯ เพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษก็เป็น "ฎีกาเท็จ" ที่อาจจะผิดมาตรา 112 ได้ ก็ต้องมีคนไปดำเนินการ ที่รัฐบาลอาจทูลเกล้าฯ ได้ว่ามีการถวายฎีกาอันเป็นเท็จ ก็อยู่ที่พระบรมราชวินิจฉัยว่าจะเพิกถอนหรือไม่ จะทรงเพิกถอนเหมือนที่เคยทรงเพิกถอนเรื่องการตั้งสมณศักดิ์ที่เคยทรงทำมาแล้วหรือไม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2
'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'
🛑LIVE คิด - วิเคราะห์ - แยกแยะ!! ภาพร่วมเฟรม 'เจ้าพ่อสแกม' | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ :วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้
🛑LIVE ละครการเมือง คว่ำน้ำเงิน!? | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : พุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568


