
ท่ามกลางเสียงกลองการเตรียมตัวเลือกตั้งกำลังเกิดขึ้น ด้วยประกาศิต “MOA 4 เดือน” ที่พรรคภูมิใจไทย ตกลงกับพรรคประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ก็กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้ง กระแสสังคม อยากเห็น “อุดมการณ์ประชาธิปัตย์ 80 ปี” กลับพรรค และ การกลับมาของ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งใหญ่ที่น่าสนใจได้
และ หากใคร่ครวญกันให้ดี พรรคประชาธิปัตย์ที่ Full Team จะเป็นพรรคที่มีคุณค่า โดดเด่นไม่น้อยกว่าพรรคใดๆ
พรรคประชาธิปัตย์ “กล้า” เป็นเสาหลักประชาธิปไตย มีประวัติต่อสู้เผด็จการทหารมาร่วม 80 ปี ตั้งแต่ยุคมืดประชาธิปไตย สมัยที่การสื่อสารยังไม่ก้าวหน้า การต่อสู้อำนาจเผด็จการเป็นเรื่องที่เสี่ยงสูงมาก แต่ ปชป. ก็ต่อสู้มาตั้งแต่สมัยเผด็จการ จอมพล ป. พิบูลสงคราม, จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์, จอมพล ถนอม กิตติขจร รวมถึงการต่อต้านรัฐประหารเพื่ออำนาจรัฐของผู้ปกครองมาโดยตลอด รวมถึง สมัย พลเอก สุจินดา คราประยูร ที่คนรุ่นปัจจุบันยังทันเห็นภาพ
“ปรากฏการณ์ลุงตู่” โดดเด่น ในยุคที่ต้องใช้อำนาจพิเศษ ช่วยนำให้เกิดการ “บังคับใช้” (Enforcement) กฎหมาย กับนาย ทักษิณ ชินวัตร ทำให้คนไทยจำนวนมากรักและสนับสนุนลุงตู่ ซึ่งส่วนมากก็เคยเป็นแฟน ปชป. มีจิตวิญญาณต้านโกงด้วยกัน ในการเลือกตั้ง 2566 แม้หลายคนก็รู้สึกไม่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ที่ลุงตู่จะลงเลือกตั้งอีกครั้ง เพราะถูกนำไปพูดได้ว่าเป็น “การสืบทอดอำนาจรัฐประหาร” โดย สว. มีเสียงสนับสนุนการเลือกนายกรัฐมนตรีได้...
นั่น ทำให้ พรรคเพื่อไทย และ พรรคประชาชน (เดิมคือ พรรคอนาคตใหม่ หรือ พรรคก้าวไกล) จึงสามารถใช้กลยุทธหาเสียงง่ายๆอย่างร่าเริงว่าให้ประชาชน “เลือกฝ่ายประชาธิปไตย” กล่าวหาใส่ร้ายว่า ประชาชนเศรษฐกิจไม่ดี เพราะ มีอำนาจรัฐประหารกดทับ ต้องไม่เอา ลุงตู่ ไม่ร่วม 3 ป. ดูถูกลุงตู่ ทหาร และ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญสารพัด
ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ โดยคุณอภิสิทธิ์หัวหน้าพรรค ก็ประกาศ “ไม่สนับสนุนลุงตู่สืบทอดอำนาจรัฐประหาร” ซึ่งประชาชนทั่วไปก็เห็นว่า แม้ต้านการสืบทอดรัฐประหาร แต่ก็ไม่มีการดูถูกใส่ร้ายลุงตู่ด้วยความเท็จ
แต่ด้วยสังคมแบ่งขั้นรุนแรง คนต้านโกง ชาว กปปส. ก็ชวนกันเลือก พปชร. รทสช. สนับสนุนลุงตู่
คนต้านลุงตู่ ก็เลือกเพื่อไทย หรือ พรรคประชาชน
คะแนนประชาธิปัตย์ที่ทั้งต้านโกง และ ทั้งต้านการสืบทอดอำนาจรัฐประหารจึงตกต่ำลง แต่ถ้าใคร่ครวญให้ดี นั่นคือ ความมุ่งมั่นเป็น “เสาหลัก ประชาธิปไตย” ที่ต้อง “ไม่โกง” ด้วย อย่างกล้าหาญ และ เสียสละ
บัดนี้ สังคมเห็นชัดแล้วว่า การหาเสียงง่ายๆอย่างร่าเริงว่า เลือก “ฝ่ายประชาธิปไตย” จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยได้ แต่กลับไม่เป็นจริง นี่ขนาดได้พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีประสบการณ์และบุคลากรที่ดูเหนือกว่าพรรคประชาชน แต่กลับไม่รู้จริง หลงทางกับการสร้างบล็อกเชนเพื่อทำระบบใหม่ แจกเงินดิจิตอล 10,000 บาทแต่ไม่ได้ผลจริง ทั่วโลกการท่องเที่ยวฟื้นตัวในหลายๆประเทศ แต่ไทยที่เคยเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวอันดับ 8 ของโลก มีผู้มาเที่ยวไทยถึง 40 ล้านคนในปี 2019 ยุครัฐบาลลุงตู่ กลับตกต่ำลงจนปีนี้ อาจไม่ถึง 36 ล้านคน ทั้งที่ ญี่ปุ่นหรือเวียดนามกลับได้ทำนิวไฮกันไปแล้ว
และ พรรคประชาชน ก็ไม่กล้าเป็นผู้นำรัฐบาล บริหารประเทศ พร่ำเพ้อแต่จะต้องเร่งแก้รัฐธรรมนูญก่อนต่อไป
พรรคประชาธิปัตย์ จึงกลับมาน่าสนใจ เพราะ ยืนหยัดต้านเผด็จการรัฐประหารจริงมาตลอด 8 ทศวรรษชัดเจน แม้จะเว้นช่วงที่พักอุดมการณ์ แต่กำลังจะได้อุดมการณ์ คืนมา พร้อมกับ คุณอภิสิทธิ์ คัมแบ็กในครั้งนี้
และ พรรคประชาธิปัตย์ ยังเป็น “เสาหลักประชาธิปไตย...ใสสะอาด” ต่อต้าน “ธุรกิจการเมือง” มาเป็นที่ประจักษ์มาตลอด เพราะ กลุ่มธุรกิจการเมือง เอาประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือให้ได้อำนาจ และ ใช้อำนาจรัฐ “โกงชาติ” เพื่อถอนทุน
ลักษณะที่ดูได้ง่ายๆ คือ พรรคที่ทำการเมืองแบบ “ศูนย์การค้า ธุรกิจการเมือง” กลุ่มการเมืองต่างๆ โยกย้ายไปมาได้ง่าย ขอเพียงได้ผลประโยชน์ที่ลงตัว ร่วมกันชนะเลือกตั้ง แต่แบ่งเค้กอำนาจรัฐกันไป
ประชาธิปัตย์ยืนหยัดสู้ “พรรคศูนย์การค้า ธุรกิจการเมือง” มาตั้งแต่พรรคชาติไทย, พรรคความหวังใหม่ ซึ่งมีปัญหาคอรัปชันต่อเนื่องจนเกิด “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ในสมัยรัฐบาลบิ๊กจิ๋วซึ่งทักษิณเป็นรองนายกฯ จนต้องลงนามใน LOI เพื่อกู้ไอเอ็มเอฟ
ต่อมาก็ต่อสู้กับระบอบทักษิณ ซึ่งครอบงำประเทศมากว่า 24 ปี โกงชาติตั้งแต่เริ่มต้น ตามที่นายเสนาะ เทียนทอง เลขาฯพรรคไทยรักไทยคนแรกเปิดโปงว่า “รวยแล้วยังโกง” เผาบ้านเผาเมืองเป็นประกัน ทุบเงินบาท คนไทยล้มละลายทั่วบ้านเมือง แต่รวยอยู่กลุ่มเดียว และ เชื่อได้ว่า กองทุนลับวินมาร์คก็เป็นตัวอย่างของแหล่งเก็บกำไรจากการทุบค่าเงินบาท มาใช้สำหรับการซื้อเสียงเสียง ดูด สส. ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นแบบของ “พรรคศูนย์การค้าธุรกิจการเมือง” ในปัจจุบัน
พรรคประชาธิปัตย์ ปกป้อง “เสาหลักประชาธิปไตยไทย” ต่อต้าน “ระบอบฮุน-ชินฯ” มาอย่างกล้าหาญ และ เสียวสละ
เหตุการณ์ปี 2552-2553 สมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีกองกำลังติดอาวุธ ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง มีการจุดไฟเผารถเมล์ ยึดถังแก๊สเอาคนเสื้อแดงและประชาชนรอบๆเป็นตัวประกัน ขับรถเมล์ไล่บี้ทหาร มีการบุกทำลายการประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา มีการทุบตีทำร้ายรถนายกรัฐมนตรี ใกล้ทำร้ายถึงตัวนายกฯอภิสิทธิ์เองด้วย การวางเพลิงเผาเซ็นทรัลเวิลด์และอีกหลายอาคาร โดยมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายใส่ชุดดำก่อการร้าย โยนระเบิด ยิงจรวดใน กทม. แล้วไปแฝงตัวในกลุ่มคนเสื้อแดงผู้บริสุทธิ์ ตอนนั้น คนไทย ก็ยังงงว่า “ทำไมคนไทยเสื้อแดง จึงมีการประท้วงที่มีกองกำลังติดอาวุธ กระทำการที่อุกอาจเช่นนั้น ? ทำร้ายประเทศชาติให้เสียหน้าต่อผู้นำนานาชาติขนาดนั้น เผาบ้านเผาเมืองไทย ราวกับไม่ใช่คนไทย ?”
แต่เมื่อนำภาพที่เห็น มาต่อกับข้อมูลเพิ่มเติมในปี 2568 นี้ที่ฮุนเซนได้เปิดโปงว่า ทักษิณ เคยได้เปิดเผยเอกสารราชการเกี่ยวกับการสร้างถนนหมายเลข 68 ให้กับตนเอง และยังได้แต่งตั้ง ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ในปลายปี 2552 ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่มีทั้งม็อบมาทำลายสงกรานต์ ทำลายการประชุมผู้นำอาเซียน และ เผาบ้านเผาเมือง
แนวทางการปะทะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย ก็คล้ายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ บ้านหนองจานและพื้นที่อื่นๆ ที่มีการนำประชาชนมานำหน้า เป็นโล่มนุษย์อย่างโหดร้าย ไร้เมตตาธรรมต่อประชาชนกัมพูชา รอเวลาให้ไทยใช้รุนแรงต่อเด็กหรือผู้หญิงที่นำมาเป็นโล่มนุษย์ ก็จะได้เอาภาพไปฟ้องนานาชาติ ขยายความรุนแรงของเหตุการณ์
ซึ่งเป็นแนวเดียวกับที่กองกำลังไม่ทราบฝ่าย ซึ่งอริสมันต์ผู้นำม็อบสายรุนแรงประกาศว่า เป็นหนึ่งในแก้วสามประการ ประกอบกับการซ่อนตัวของอริสมันต์ที่กัมพูชาหลังเกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ทำให้เชื่อได้ว่า น่าจะเป็นการร่วมมือกัน ของฮุนเซน กับ ทักษิณ ผู้หนีคดียึดทรัพย์จากประเทศไทย ไปซ่อนตัวที่กัมพูชา และใช้พาสปอร์ตกัมพูชาไปประเทศต่างๆ ฮุนเซนจึงได้กล่าวว่า ฮุนเซนไม่เคยติดหนี้ประเทศไทย แต่ทักษิณติดหนี้บุญคุณฮุนเซน
พรรคประชาธิปัตย์ “รวมไทยสร้างชาติ” ปกป้อง “ประเทศไทย” ให้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ถูกแบ่งแยก เป็น “สงครามกลางเมือง” ลองคิดดูว่า ในช่วงที่ม็อบสีแดงมีพฤติกรรมรุนแรง มีกระแสประชาชนอีกส่วน เชียร์ให้จัดการกับบรรดาผู้ก่อการร้ายชุดดำกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเหล่านั้น มันก็จัดการยากมาก เพราะ อยู่ท่ามกลางคนเสื้อแดงที่บริสุทธิ์ ซึ่งพร้อมจะ “ใส่ร้าย” รัฐบาลไทยอยู่แล้ว หากรัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้ความรุนแรงกับคนชุดดำ ก็อาจมีลูกหลงไปกระทบคนเสื้อแดงบริสุทธิ์ หรือ ในความชุลมุนอาจถึงขั้น คนชุดดำทำร้ายคนเสื้อแดงเพื่อใส่ร้ายรัฐบาลก็เป็นไปได้ เหมือนที่กองกำลังนั้นถึงกับยิงทำร้ายทหารไทย (รวมถึง ท่านพันเอกร่มเกล้า ธุวธรรม ผู้สละชีพเพื่อชาติในหน้าที่) แต่กลับใส่ร้ายทันทีว่า นายกอภิสิทธิ์ “สั่งฆ่าประชาชน”
เราก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในกัมพูชาขณะนี้ก็เป็นแบบเดียวกัน พร้อมจะเริ่มยิงจรวด และ ใส่ร้ายทันทีว่าไทยเริ่ม พร้อมใส่ร้ายว่าไทยโปรยสารพิษ พร้อมส่งทหารมาตายในแนวรบนับพันคน แต่โกหกว่า ทหารกัมพูชาตายเพียง 5 คน และหากมีการเปิดโปงศพที่ไม่เก็บ ก็แค่ใช้วิธีใส่ร้ายไทย สร้างความเกลียดชังในหมู่ชาวกัมพูชาต่อชาวไทยมากขึ้น
ในวิกฤตความแตกแยกนั้น ประเทศไทยโชคดี ที่มีนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่กล้าหาญ อดทน และ เสียสละ แก้ปัญหาอย่างละมุนละม่อมที่สุด เพราะ หากใช้ความรุนแรง ก็จะกลายเป็นสงครามกลางเมือง เป็นสีเหลือง กับ สีแดง ซึ่งในสายตานายกฯอภิสิทธิ์ ไม่ว่าใครจะชนะ “ประเทศไทยแพ้” ทุกสี คือ คนไทย ที่นายกฯอภิสิทธิ์ต้องดูแลปกป้องเช่นเดียวกัน ดังพระราชดำรัส ในหลวง ร. 9 ที่ตรัสในช่วงพฤษภาทมิฬว่า “เมื่อคนไทยถูกแบ่งแยกให้สู้กัน ไม่มีใครชนะ มีแต่คนแพ้ ที่แพ้ที่สุดคือประเทศไทย” นับว่า นายกฯอภิสิทธิ์ แสดงให้เห็นถึงหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ปกป้องไทยไม่ให้แตกแยกเช่นนั้นอย่างน่าสรรเสริญจริงๆ
พรรคประชาธิปัตย์ “กู้วิกฤตเศรษฐกิจชาติใหญ่ๆมาแล้วถึง 2 วิกฤต” ความน่าประทับใจอีกอย่างก็คือ รัฐบาลอภิสิทธิ์ นอกจากต้องเผชิญกับการปลุกปั่นม็อบรุนแรง มีผู้ก่อการร้ายติดอาวุธแฝงซ่อนตัวในม็อบ ยังต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตการเงินโลก หรือ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ดี โดยได้คุณ กรณ์ จาติกวณิช ประธาน บริษัทเจพี มอร์แกน ประเทศไทย ซึ่งเป็นเครือธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ มาเป็นรัฐมนตรีคลัง แก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวเร็ว 1 ใน 5 ของโลก ได้รับการยกย่องโดยนิตยสารเครือ Financial Times ให้เป็น “รัฐมนตรีคลังโลก” ปี 2010
เช่นเดียวกับ ในยุควิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศไทยเกือบล้มละลาย รัฐบาลนายกฯ ชวน ได้นำบุคลากรระดับ คุณ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ CEO ธนาคารไทยพาณิชย์ คุณศุภชัย พานิชภักดิ์ CEO ธนาคารทหารไทย กู้วิกฤตเศรษฐกิจไทยได้สำเร็จยั่งยืน
หากจะเทียบไป ยังไม่เห็นพรรคการเมืองอื่นใด ได้บุคลากรที่เป็นคนเก่ง และ คนดี เข้ามาด้วยคนคุณภาพระดับนี้เลย
พรรคประชาธิปัตย์ มีหัวใจ “ไทยภักดี” เป็นที่ประจักษ์ คุณอภิสิทธิ์เคยอภิปรายในสภาฯว่า “ประเทศไทยโชคดีที่มีในหลวง” เป็นสถาบันศูนย์รวมดวงใจคนไทยทั้งชาติ และได้เตือนบ่อยๆว่า เราควรที่จะเชิดชูรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่เหนือการเมือง และ ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์มีความร่วมมือกับกองทัพ นำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ ผู้บัญชาการทหารบก ทำหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นอย่างดี
ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ยืนหยัดต่อสู้อำนาจเผด็จการ มาตลอด 80 ปี แต่ไม่มีท่าที “ดูถูก” หรือ “ด้อยค่า” ทหารแต่อย่างใด เป็นการรณรงค์ ระบอบ “เสรีประชาธิปไตย” มีความเป็น “เสรีนิยม” อย่างจริงใจและเข้มแข็งมา 8 ทศวรรษ แต่ไม่ใช้กลยุทธใส่ร้าย ดูแคลน ทหาร หรือ กองทัพไทย ทั้งๆที่กองทัพไทยทำหน้าที่อย่างดี ยังมีแกนนำพรรคการเมืองหนึ่ง บอกว่า “ตกใจที่คนไทยกลับมาไว้ใจทหาร” หรือ แกนนำบางคนเคยบอกว่า “ทหารมีไว้ทำไม ?” “แล้วถ้ามีการรบกัน ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะชนะ” ซึ่งการสร้างความแตกแยกเกลียดชัง ไม่เป็นตามหลักหัวใจประชาธิปไตย ที่พึงยอมรับความแตกต่าง โดยไม่ต้องแตกแยกแต่อย่างใด
พรรคการเมืองไทยมีสักกี่พรรคที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีอุดมการณ์ต่อเนื่อง และ มี Accountability
ส่วนใหญ่หากมีปัญหา ก็เพียงแต่ย้ายพรรค เปลี่ยนชื่อพรรค หวังให้ประชาชนลืมสิ่งที่เคยสร้างปัญหาไว้ ไทยทนเห็นแต่พรรคประชาธิปัตย์ที่รักษาประวัติศาสตร์มาร่วม 80 ปี รักษาจุดยืนและอุดมการณ์ เป็นเสาหลักประชาธิปไตย ต่อสู้อำนาจเผด็จการ ต่อสู้ระบอบธุรกิจการเมือง เป็นโมเดล “ศูนย์การค้า กลุ่มธุรกิจการเมือง” ต่อสู้ระบอบ “ฮุน-ชินฯ” รวมไทยสร้างชาติ ปกป้องไทยเป็นหนึ่งเดียว ด้วยหัวใจยิ่งใหญ่ กล้าหาญและเสียสละ เพื่อรักษาชาติไม่ให้ถูกทำให้แตกแยกเป็นสงครามกลางเมือง ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งยั่งยืนแก้ไขปัญหาทั้ง “วิกฤตต้มยำกุ้ง” และ “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” มีหัวใจ ไทยภักดี ปกป้องสถาบัน ให้เกียรติทหาร เป็นพรรคเสรีประชาธิปไตยที่ประชาชนไทยวางใจได้อย่างแท้จริงต่อไป
ไทยทน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปชน. ค้านนัดโหวตแก้ รธน. วาระ 3 หลังปีใหม่ หวั่นกระทบไทม์ไลน์ทำประชามติ
"ณัฐวุติ" ย้ำโหวตแก้ รธน. วาระ 3 ต้องเสร็จก่อนปีใหม่ หวั่นกระทบไทม์ไลน์ทำประชามติ เสี่ยงผิด MOA เชื่อไม่มีเงื่อนไขให้ สว. ควํ่าวาระ 3 เผย หลังโหวตเสร็จ ปชน. เตรียมชง 2 คำถามประชามติให้สภาฯ เคาะทันที
🛑LIVE ร้องข้ามกำแพงคุก!! | ห้องข่าวไทยโพสต์
ร้องข้ามกำแพงคุก!! ห้องข่าวไทยโพสต์ : ประจำวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568


