”ไทยโพสต์”เห็นว่า “บุคคลแห่งปี 2568” ที่สมควรได้รับการสดุดี-ยกย่องเชิดชู ควรได้รับเสียงปรบมือให้ในการทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง-เสียสละและกล้าหาญก็คือ ”รั้วของชาติ -ทหารไทยทุกคนที่ทำหน้าที่อย่างสมเกียรติในช่วงการสู้รบไทย-กัมพูชาเพื่อปกป้องอธิปไตยผืนแผ่นดินไทย”
สถานการณ์การสู้รบ”ไทย-กัมพูชา”รอบสอง ที่ปะทุขึ้นช่วง 7-8 ธ.ค. 2568 ที่ผ่านมา และเปิดฉากรบกันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน จนทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะประชาชนในจังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และที่สำคัญ ทำให้”ทหารไทย”ผู้ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยผืนแผ่นดินไทยสู้รบกับทหารเขมรอย่างกล้าหาญ บาดเจ็บ-เสียชีวิต จำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม แนวรบไทย-กัมพูชามาถึงสถานการณ์สำคัญ เมื่อมีการ”ลงนามข้อตกลงหยุดยิง”เมื่อ 27 ธันวาคม 2568ที่ผ่านมา
อันเป็นผลมาจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ ที่ด่านถาวรบ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี โดยข้อตกลงดังกล่าว เป็นการลงนามร่วมกันระหว่าง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประธาน GBC ฝ่ายไทย กับ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รัฐมนตรีว่าการกลาโหมกัมพูชา
สำหรับถ้อยแถลงร่วม ที่เป็นข้อตกลงในการหยุดยิงดังกล่าว มีการเห็นชอบร่วมกันต่อมาตรการต่างๆ อาทิเช่น
1.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะหยุดยิงทันที หลังจากที่มีการลงนามในแถลงการณ์ร่วมฉบับนี้ โดยมีผลตั้งแต่เวลา 12.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ของวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ครอบคลุมอาวุธทุกประเภท รวมถึงการโจมตีพลเรือน วัตถุทางพลเรือน และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงเป้าหมายทางทหารของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในทุกกรณีและทุกพื้นที่ ทั้งสองฝ่ายต้องหลีกเลี่ยงการยิงโดยปราศจากการยั่วยุ หรือการรุกคืบ หรือการเคลื่อนย้ายกองกำลังไปยังที่มั่นหรือกองกำลังของอีกฝ่าย ข้อตกลงนี้จะต้องไม่ถูกละเมิดไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ
2.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะคงการวางกำลังทหารในปัจจุบันโดยไม่มีการเคลื่อนย้ายเพิ่มเติม จะต้องไม่มีการเคลื่อนย้ายกองกำลัง รวมถึงการลาดตระเวนไปยังที่มั่นของอีกฝ่าย
3.ทั้งสองฝ่ายตกลงว่าการดำเนินการทั้งหมดภายใต้แถลงการณ์ร่วมนี้ เป็นไปโดยไม่กระทบกระเทือน (Without prejudice) ต่อการจัดทำหลักเขตแดนและเส้นเขตแดนระหว่างประเทศระหว่างสองประเทศ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะอ้างอิงถึงคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เพื่อกลับมาดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนโดยเร็วที่สุด ตามข้อตกลงที่มีอยู่ระหว่างสองประเทศ เพื่อให้บรรลุสันติภาพที่ยั่งยืนตามแนวชายแดน
4.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะอนุญาตให้พลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบ กลับคืนสู่ภูมิลำเนาโดยเร็วที่สุด โดยปราศจากการขัดขวาง และด้วยความปลอดภัยและศักดิ์ศรี สู่บ้านเรือนและการดำรงชีพตามปกติในพื้นที่ภายในฝั่งของตนเอง
5.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่เพิ่มกองกำลังตลอดแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย การเสริมกำลังใดๆ จะเป็นการเพิ่มความตึงเครียดและส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความพยายามระยะยาวในการแก้ไขสถานการณ์
6.มีการทำข้อตกลงร่วมกันที่จะไม่ดำเนินการยั่วยุใดๆ ที่อาจยกระดับความตึงเครียด ซึ่งรวมถึงกิจกรรมทางทหารที่รุกล้ำเข้าน่านฟ้าและดินแดน หรือที่มั่นของอีกฝ่าย ณ เวลาที่หยุดยิง ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะงดเว้นการก่อสร้างหรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางทหารหรือป้อมปราการใดๆ ที่อยู่นอกเหนือฝั่งของตนเอง
7.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่ใช้กำลังใดๆ ต่อพลเรือนและวัตถุทางพลเรือนในทุกสถานการณ์ การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเป็นอันตรายต่อชุมชนในพื้นที่ชายแดน แต่ยังเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และทำลายภาพลักษณ์ในระดับโลกของฝ่ายที่ไม่ปฏิบัติตาม
8.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะงดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอม เพื่อลดความตึงเครียด บรรเทาความรู้สึกเชิงลบของสาธารณชน และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจรจาอย่างสันติ
9.ทั้งสองฝ่ายยืนยันพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอนระเบิดสังหารบุคคลและการทำลายระเบิด (อนุสัญญาออตตาวา) ทั้งสองฝ่ายจะทำงานร่วมกันผ่านคณะทำงานประสานงานร่วม (JCTF) ว่าด้วยการเก็บกู้วัตถุระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ตามระเบียบปฏิบัติประจำ (SOP) ที่ได้ตกลงกัน เพื่อให้เกิดความคืบหน้าในการเก็บกู้วัตถุระเบิดตามแนวชายแดนอย่างทันท่วงที เป็นต้น
กระนั้น หลายฝ่ายก็เห็นตรงกันว่า สถานการณ์ยังวางใจไม่ได้ เพราะหลังจากนี้ อาจเกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นเปิดฉากก่อน จนทำให้เกิดการสู้รบรอบที่สามได้ตลอดเวลา
เพราะที่ผ่านมา ก็เห็นพฤติการณ์ของฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา และฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาหลายต่อหลายครั้งว่า ไม่เคยปฏิบัติตามข้อตกลงที่ไทย-กัมพูชา เคยลงนามร่วมกันมาก่อนเลย นับแต่เกิดการสู้รบไทย-กัมพูชา ที่มีการลงนามมาแล้วนับรวมถึงรอบล่าสุด 27 ธ.ค.2568 ร่วมสี่ครั้ง
ซึ่งประกอบด้วย ข้อตกลงครั้งแรกเมื่อ 28 ก.ค. สมัยรัฐบาลเพื่อไทย ที่ให้หยุดยิงไม่มีเงื่อนไขทันทีตั้งแต่เที่ยงคืน หลังเจรจาที่มาเลเซีย จัดโดยอาเซียน สหรัฐฯ และจีน -ครั้งที่สอง เมื่อ 6 ส.ค. 2568 ที่เป็นข้อตกลง 13 ข้อจากประชุม GBC โดยเฉพาะการให้ ยุติใช้อาวุธทุกประเภทและคงกำลังทหาร
และที่สำคัญที่สุด ก็คือ ข้อตกลง ที่เกิดขึ้นในช่วงการประชุมอาเซียนซัมมิต ที่มาเลเซีย ที่เรียกกันว่าข้อตกลงสันติภาพ มีประธานาธิบดีทรัมป์เป็นพยาน จนมาถึงล่าสุด การทำข้อตกลงหยุดยิง เมื่อ 27 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่ให้หยุดยิง 72 ชั่วโมงตั้งแต่เที่ยงวัน
แต่อย่างที่บอกไว้ข้างต้น สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะมีประสบการณ์ให้เห็นกันมาแล้ว กับการที่ ฮุน เซน -กัมพูชา จะละเมิดข้อตกลงรวมถึงไม่ทำตามข้อตกลงที่ได้ร่วมลงนามกับไทยมาตลอด
อย่างล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ถึงสถานการณ์เมื่อคืนวันที่ 28 ธันวาคม 2568 ว่า ได้มีการตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) บินจากฝั่งกัมพูชาล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยเป็นจำนวนมากกว่า 250 ลำ โดยพบการเคลื่อนไหวอย่างหนาแน่นในพื้นที่ช่องบก ช่องอานม้า เขาสัตตะโสม ซำแต โดนตวล ช่องกร่าง ปราสาทตาเมือนธม และช่องสายตะกู
โฆษกกองทัพบกระบุว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการยั่วยุและละเมิดมาตรการลดระดับความตึงเครียด อันเป็นการไม่สอดคล้องกับถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) จากผลการประชุม GBC เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันไว้ก่อนหน้านี้
“พฤติกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีการกระทำในลักษณะยั่วยุ และมีท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อฝ่ายไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของกำลังพล รวมถึงประชาชนในพื้นที่แนวชายแดน
กองทัพบกอาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาทบทวนการดำเนินการเกี่ยวกับการปล่อยตัวกำลังพลฝ่ายกัมพูชาจำนวน 18 นาย ตามสถานการณ์และพฤติกรรมที่เกิดขึ้น
กองทัพบกขอยืนยันว่า ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในแนวทางสันติ และให้ความสำคัญกับการลดความตึงเครียดผ่านกลไกที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม หากยังพบมีการละเมิดข้อตกลงและอธิปไตยของประเทศอย่างต่อเนื่อง กองทัพบกมีความจำเป็นต้องดำเนินการตามหน้าที่ เพื่อปกป้องผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ”
อีกทั้งในวันเดียวกันนั้น ก็พบว่า เพจ “กองทัพบก ทันกระแส” โพสต์ข้อความระบุว่า “สัตตะโสมอีกแล้ว ทหารไทยเหยียบกับระเบิดหลังเข้าเก็บกู้พื้นที่(รายละเอียดเพิ่มเติมแจ้งให้ทราบต่อไป) กัมพูชาต้องชัดเจน เรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด โดยมีรายงานว่า สำหรับทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ทราบชื่อคือ จ.ส.ต.สุจินต์ จิตกรียาน สังกัด กองพันทหารช่างที่ 8 กองพลทหารม้าที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด เหยียบกับระเบิดสังหารบุคคลขณะเข้าปฏิบัติหน้าที่กวาดล้างพื้นที่สัตตะโสมที่ยึดคืนมาได้ แรงระเบิดส่งผลให้ ขาซ้ายขาดและมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ตาซ้าย เจ้าหน้าที่เร่งนำตัวส่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบึงมะลู ก่อนส่งต่อ โรงพยาบาลกันทรลักษ์ และประสานเฮลิคอปเตอร์เคลื่อนย้ายด่วนไปยังโรงพยาบาลสุรินทร์
ถือเป็นทหารรายที่ 11 ที่เหยียบทุ่นระเบิดจนได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบไทย-เขมร จากการปฏิบัติหน้าที่อย่างองอาจกล้าหาญ
เหตุการณ์การสู้รบไทย-เขมร ในปีนี้ มีการบันทึกสรุปข้อมูลไว้จากหลายแหล่ง อย่างเช่น ข้อมูลจากเว็บไซด์ของทหาร-ฝ่ายความมั่นคง อย่าง “หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ”ที่เขียนไว้ในบทความพิเศษเรื่อง”สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา : จากประวัติศาสตร์สู่ปัจจุบัน”ที่เผยแพร่ในช่วงเดือนกันยายน 2568 หลังเกิดเหตุการณ์สู้รบไทย-เขมร รอบแรก และบันทึกไว้ก่อนการสู้รบในรอบที่สอง ที่เปิดฉากในช่วง 8 ธ.ค. 2568 โดยมีเนื้อหาบางส่วนสรุปเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้เช่น
-Road to Crisis : เส้นทางสู่ความปะทะ ปี พ.ศ. 2568 ความขัดแย้งเริ่มก่อตัวและปะทุเป็นไฟร้อน
- 13 ก.พ. 68 นายทหารกัมพูชาระดับนายพลพร้อมคณะแม่บ้าน ขึ้นมาจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่ปราสาทตาเมือนธม แม้ฝ่ายไทยห้ามปราม แต่กัมพูชายังคงเดินหน้า
- 28 ก.พ. 68 เพลิงเผาผลาญศาลาตรีมุข—สัญลักษณ์มิตรภาพสามชาติ ไทย–ลาว–กัมพูชา
- 28 พ.ค. 68 เหตุปะทะครั้งแรกในพื้นที่ช่องบก อุบลราชธานี ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย
- 29 พ.ค. 68 ผบ.ทบ. ไทย–กัมพูชา พบปะเจรจาที่ช่องจอม แต่ฝ่ายกัมพูชาประกาศไม่ถอนกำลัง
- 5–7 มิ.ย. 68 กัมพูชาเสริมกำลังเพิ่มในพื้นที่ชายแดน
- 24 ก.ค. 68 กัมพูชาใช้อาวุธยิงฝ่ายไทยก่อนที่ปราสาทตาเมือนธม—กองทัพบกจึงประกาศใช้แผนเผชิญเหตุ นำไปสู่การสู้รบต่อเนื่อง 5 วันเต็ม
ยุทธการเพื่อปกป้องอธิปไตย
ระหว่างวันที่ 24–28 ก.ค. 68 การปะทะเกิดขึ้นต่อเนื่องในเขตกองกำลังสุรนารี ครอบคลุมทั้งอุบลราชธานีและบุรีรัมย์ รวม 14 พื้นที่สำคัญ ตั้งแต่ช่องบก ช่องอานม้า ภูมะเขือ พลาญยาว ไปจนถึงปราสาทตาเมือนธม
ผลการรบ : ราคาของชัยชนะ
กองทัพบกสามารถควบคุมพื้นที่ทั้ง 14 จุดได้ทั้งหมด และยึดเพิ่มรวมกว่า 2.89 ตารางกิโลเมตร —แต่ชัยชนะครั้งนี้แลกมาด้วยการสูญเสียอันใหญ่หลวง
- กำลังพลเสียชีวิต 15 นาย บาดเจ็บ 196 นาย
- ประชาชนเสียชีวิต 17 คน บาดเจ็บ 38 คน
- ประชาชนกว่า 142,114 คน ต้องอพยพไปอยู่ในศูนย์พักพิง 331 ศูนย์ ครอบคลุม 7 จังหวัดชายแดน
บทเรียนและความหมาย :
และสรุปทิ้งท้ายถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า
…ชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ใช่เพียงเส้นแบ่งเขตแดน แต่คือ สนามพิสูจน์ความกล้าหาญของทหารไทย และ ความร่วมแรงร่วมใจของประชาชน กองทัพบกมิได้เพียงต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตย แต่ยังคงดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนทุกคนในยามวิกฤติ—นี่คือพันธกิจสูงสุดที่กองทัพไทยยึดถือมาโดยตลอดนั่นก็คือ กองทัพบก “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน”
ความกล้าหาญ-ความเสียสละ ของ”ทหารไทย-ทหารผู้กล้า”ในการสู้รบไทย-กัมพูชา ในปีนี้ ทั้งสองครั้ง ทำให้คนไทยทั้งประเทศ เห็นแล้วว่า “รั้วของชาติ-ทหารไทย”มีความเก่งกาจ กล้าหาญ เสียสละ และทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยและศักดิ์ศรีประเทศไทยไว้ได้อย่างกล้าหาญ สร้างเสียงชื่นชมจากคนไทยทั้งประเทศ
จนทำให้คนไทยบางส่วนที่อาจเคยคล้อยตามไปกับวาทกรรมของนักการเมือง-พรรคการเมืองบางพรรคที่สร้างกระแส”ทหารมีไว้ทำไม”เห็นแล้วว่า ทหารไม่ใช่ปัญหาหรืออุปสรรคของประเทศแต่ทหารคือกองกำลังหลักของประเทศ ที่ประชาชนวางใจได้ในการปกป้องอธิปไตยทุกผืนตารางนิ้วประเทศไทย รวมถึงการที่ ทหารจากกองทัพต่างๆ ออกมาทำหน้าที่ในโอกาสต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนเช่นการช่วยเหลือประชาชนในช่วงน้ำท่วมใหญ่ หลายต่อหลายครั้ง เป็นต้น
จากความกล้าหาญ-ความเสียสละ และการปฏิบัติหน้าที่การเป็นทหารไทยอย่างสมเกียรติ ในสงครามการสู้รบไทย-กัมพูชาทั้งสองรอบในปี 2568 ที่มีรายงานจนถึงวันที่ 29 ธ.ค. 2568 ว่ามีทหารเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงการสู้รบไทย-กัมพูชารวมทั้งสิ้นประมาณ 43 คนและบาดเจ็บอีกจำนวนไม่น้อย
ทาง”ไทยโพสต์”จึงเห็นว่า “บุคคลแห่งปี 2568” ที่สมควรได้รับการสดุดี-ยกย่องเชิดชู ควรได้รับเสียงปรบมือให้ในการทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง-เสียสละและกล้าหาญก็คือ
”รั้วของชาติ -ทหารไทยทุกคนที่ทำหน้าที่อย่างสมเกียรติในช่วงการสู้รบไทย-กัมพูชาเพื่อปกป้องอธิปไตยผืนแผ่นดินไทย”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พ้น72ชม.ไม่วางใจ สั่งปีใหม่คุมเข้มชายแดน เขมรยังปล่อยโดรนป่วน
ครบกำหนดหยุดยิง ไร้ปะทะ แต่กัมพูชาส่งกำลังบำรุง-ปล่อยโดรนตลอดแนวชายแดน ละเมิดข้อตกลง
'สีหศักดิ์' ถึงยูนนาน ถกจนท.-ทหารไทย พร้อมหารือไตรภาคี
'สีหศักดิ์' ถึง 'ยูนนาน' ประชุมร่วมเจ้าหน้าที่-ทหารฝ่ายไทย เตรียมพร้อมก่อนหารือไตรภาคี หลังข้อตกลงหยุดยิง
'ทภ.2' ประกาศสถานการณ์คลี่คลาย ให้ปชช.กลับบ้านได้
'กองทัพภาค 2' ประกาศสถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว ประชาชนกลับบ้านได้ แต่ขอให้ระมัดระวัง ย้ำยังปฏิบัติภารกิจปกป้องอธิปไตยชาติ ดูแลความปลอดภัยต่อเนื่อง
กองทัพยังไม่พบเหตุละเมิดหยุดยิง ยันห้ามเขมรกลับเข้า 'บ้านหนองจาน'
กองทัพยันยังไม่พบเหตุการณ์ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง 72 ชม. ไทยยึดเคร่งครัด แจงชาวกัมพูชากลับเข้า 'บ้านหนองจาน' ในเขตฝ่ายไทยไม่ได้
ทภ.1 สดุดี จ.ส.อ.พีระยุทธ เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ชายแดนอรัญประเทศ
กองทัพภาคที่ 1 แสดงความอาลัยต่อการจากไปของ จ.ส.อ.พีระยุทธ น้าวิลัยเจริญ ทหารกล้าเสียชีวิตระหว่างภารกิจปกป้องอธิปไตยไทย ยืนยันดูแลพิธีศพและสิท
ศูนย์แถลงฯ เปิดเหตุผล ‘ไม่รบต่อ’ ประเมินโดยฝ่ายทหาร ไร้การเมืองบีบ
ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เผยเอกสารตอบคำถามประชาชน 20 ข้อ ชี้การตัดสินใจหยุดการรบมาจากการประเมินของฝ่

