ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 32: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475)

 

ผู้เขียนขอหยิบยกรายงานจากสถานทูตอื่นๆที่มีต่อเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อจากตอนที่แล้ว โดยผู้เขียนได้คัดลอกมาจากหนังสือ ฝรั่งมองไทยในสมัยรัชกาลที่ 7: ตะวันออกที่ศิวิไลซ์ ของ ธีระ นุชเปี่ยม จัดทำโดยมูลนิธิประชาธิปก-รำไพพรรณี

5.2 ตะวันตกมองการเริ่มต้นของระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในสยาม   

จากตอนที่แล้ว ที่ได้ยกรายงานสถานทูตต่างประเทศที่มีต่อพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 โดยมีสาระสำคัญว่า ทางฝ่ายฝรั่งเศสเห็นว่า การปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งนั้นถือเป็น “การรัฐประหาร” ส่วนทางฝ่ายอังกฤษเห็นว่า ไม่ใช่ และเห็นด้วยกับ “การยุบสภาฯ” ครั้งนั้น นั่นคือ ทางอังกฤษเห็นว่าเป็นการยุบสภาฯ   ส่วนในแถลงการณ์ของรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาและในพระราชกฤษฎีกาใช้คำว่า ปิดประชุมสภาฯ  และผู้เขียนได้ทิ้งคำถามท้ายบทความไว้ว่า “ท่านผู้อ่านได้อ่านเรื่องราวข้างต้นไปแล้ว ท่านเห็นว่า ปรากฎการณ์ทางการเมืองวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นการทำรัฐประหารตามความเห็นของพันโทรูซ์ หรือไม่เป็นตามความเห็นของอัครราชทูตอังกฤษ ?”

------------------

ต่อประเด็นการปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 นี้  ม.ล. วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ได้ศึกษาไว้ใน “แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว: การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์” (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต แผนกวิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2520) ได้กล่าวไว้ว่า

“การปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราของพระยามโนปกรณ์นิติธาดานี้เป็นเหตุให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา แต่ในแง่ที่ว่าจะเป็นการละเมิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการละเมิดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  จริงอยู่ แม้ในรัฐธรรมนูญจะมิได้กำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ทว่าถ้าคิดในแง่ธรรมเนียมปฏิบัติที่ใช้กันอยู่ในประเทศที่มีการปกครองในระบอบรัฐสภา หากเกิดกรณีที่มีการขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจนไม่สามารถจะรักษาสถานการณ์ไว้ได้ รัฐบาลอาจยุบสภาแล้วให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้ จึงอาจกล่าวได้ว่า การกระทำของพระยามโนปกรณ์นิติธาดามิได้เป็นการกระทำที่จะละเมิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแต่ประการใด”

--------------

ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า การที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาฯมิไม่ถือว่าเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญและเป็นการทำรัฐประหาร เพราะเป็นไปตามมาตรา 29 ในรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475  Ffpสมัยประชุมสภาฯได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลาเกินเก้าสิบวันแล้วด้วย ขณะเดียวกัน ในตอนท้ายของรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2475 ได้มีข้อความในหมายเหตุท้ายรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 59 (สมัยสามัญ) วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2475  มีข้อความที่หน้า ๑๐๐๐ ว่า “หมายเหตุ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๗๖ ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเรียกประชุมวิสามัญตั้งแต่วันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๖ เป็นต้นไป...”     จากรายงานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ได้มีการประกาศในที่ประชุมสภาฯวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2475 ว่าจะปิดประชุมสภาฯตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 และจะให้มีการเรียกประชุมวิสามัญในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476  เป็นที่เข้าใจกันในบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เข้าประชุมในวันที่ 31 มีนาคมฯ และไม่มีสมาชิกฯผู้ใดทักท้วงการปิดประชุมสภาฯ

ประเด็นต่อไปที่ผู้เขียนจะพิจารณาในตอนนี้  คือ การปรับคณะรัฐมนตรีและการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ที่ปรากฏในประกาศพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476  เข้าข่ายเป็นการทำรัฐประหารหรือไม่ ?

ต่อประเด็นการปรับคณะรัฐมนตรี ผู้เขียนขอกล่าวถึงความเป็นมาของคณะรัฐมนตรีคณะนี้ก่อนที่จะมีการปรับตามพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2475  คณะรัฐมนตรีคณะนี้ถือเป็นคณะที่สอง  หลังจากที่พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) นายกรัฐมนตรีได้เสนอรายชื่อคณะรัฐมนตรีต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร (เจ้าพระยาพิชัยญาติ [ดั่น บุนนาค]) ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้กราบบังคมทูลฯถวายรายชี่อคณะรัฐมนตรี และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475  อันเป็นไปตามมาตรา 46 ของรัฐธรรมนูญฯที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตามข้อความในมาตรา 46: “พระมหากษัตริย์ทรงตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยนายกนายหนึ่ง และรัฐมนตรีอีกอย่างน้อยสิบสี่นาย อย่างมากยี่สิบสี่นาย ในการตั้งนายกรัฐมนตรี ประธานแห่งสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

ส่วนการตั้งคณะรัฐมนตรีก็เป็นไปตามประเพณีการปกครองระบอบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นั่นคือ นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีก็มีอำนาจในการปรับคณะรัฐมนตรีด้วย ซึ่งเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาในประเทศไทยจนปัจจุบัน

การปรับคณะรัฐมนตรีแตกต่างจากการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีครั้งแรกตรงที่ผู้รับสนองพระบรมราชโองการไม่ใช่ประธานสภาฯ แต่เป็นนายกรัฐมนตรี

ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 มาตรา 158 กำหนดไว้ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคนประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี..”

ดังในพระบรมราชโองการแต่งตั้งคุณเศรษฐา ทวีสินเป็นนายกรัฐมนตรีวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เราจะเห็นว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎร  คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งที่หนึ่งของคุณเศรษฐาตามพระบรมราชโองการประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรีวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567  คุณเศรษฐาในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองฯ 

ดังนั้น ในการปรับคณะรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ที่มีคณะรัฐมนตรีคณะใหม่ทั้งคณะเป็นผู้รับสนองฯเป็นจำนวนทั้งสิ้น 14 คน ดังรายชื่อต่อไปนี้       

พระยามโนปกรณนิติธาดา, เจ้าพระยาวงษา, เจ้าพระยาธรรมศักดิ์, พระยาเทพวิทุร, พ.ร.ท. พระยาราชวังสัน, พระยาจ่าแสนยบดี, พระยาศรีวิสารวาจา, พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา, พ.อ. พระยาทรงสุรเดช, พ.อ. พระยาฤทธิ์อัคเนย์, พ.ท. พระประศาสน์พิทยายุทธ์, พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม, น.ต. หลวงสินธุสงครามชัยและนายประยูร ภมรมนตรี

ดังนั้น นอกจากการปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นการกระทำตามรัฐธรรมนูญและไม่ถือเป็นการรัฐประหารแล้ว การปรับคณะรัฐมนตรีก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและไม่ถือเป็นการทำรัฐประหารด้วยเช่นกัน                   

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคณะรัฐมนตรีทั้งสิบสี่คนจะไม่ใช่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน  แต่ตามมาตรา 47 ของรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 กำหนดไว้ว่า “นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีกสิบสี่นายต้องเลือกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นอกนั้นจะเลือกจากผู้ที่เห็นว่ามีความรู้ความชำนาญเป็นพิเศษ แม้มิได้เป็นสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่อาจดำรงตำแหน่งการเมืองได้”   คณะรัฐมนตรีทั้งสิบสี่คนนี้ไม่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ เพราะคณะรัฐมนตรีทั้งสิบสี่คนนี้เคยดำรงตำแหน่งคณะรัฐมนตรีคณะที่สองมาก่อนแล้ว

ถ้าการปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรและการปรับคณะรัฐมนตรีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและไม่ถือเป็นการทำรัฐประหาร ที่เหลือที่จะอาจจะเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญและเข้าข่ายการทำรัฐประหาร (เงียบ) ก็คือ การงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรานั่นเอง 

คำถามคือ นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราหรือไม่ ? และในช่วงที่มีการปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรระหว่างวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 จนถึงกำหนดประชุมวิสามัญวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ได้มีการงดใช้มาตราอะไรหรือไม่ และอย่างไร  ? 

ป.ล. ขณะเดียวกัน ผู้เขียนอยากจะกล่าวซ้ำอีกครั้งว่า ขอฝากให้ท่านผู้อ่านตั้งข้อสังเกตว่า “ทำไมพระยาพหลพลพยุหเสนา, หลวงพิบูลสงคราม และหลวงศุภชลาศัย ถึงต้องทำการรัฐประหาร โดยนำกำลังทหารบีบให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดาลาออกจากตำแหน่งในเวลาหัวค่ำของคืนวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476  หนึ่งวันก่อนที่จะมีการเปิดประชุมสภาฯสมัยวิสามัญตามที่ได้ประกาศไว้ในรายงานการประชุมสภาฯวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2475 ?”

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้