พฤฒสภา คือ สภาปรีดี จริงหรือ ? (6)

 

ไชยันต์ ไชยพร

ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490  เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 และฉบับที่ 3 คือฉบับ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489  ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ที่ใช้อยู่ระหว่าง พ.ศ. 2475-2489 เป็นรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่ระบอบคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจโดยคณะราษฎร สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจโดยคณะราษฎร ได้แก่

1. การเปิดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มีสิทธิ์รับรองคณะรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1

2. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มีจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้ง

3. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี และมีวาระอยู่ยาวตราบที่ยังบังคับใช้บทเฉพาะกาลอยู่ 

ผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ชุดแรกที่แต่งตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2476 มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มาจากการทำรัฐประหาร

5. คณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มาจากการทำรัฐประหาร แต่งตั้งตัวเองและพวกพ้องซึ่งส่วนเป็นสมาชิกคณะราษฎรให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2

6. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 รับรองตัวเองให้เป็นคณะรัฐมนตรี

จาก 1-5 บรรดาสมาชิกคณะราษฎรต่างแต่งตั้งตัวเองกลับไปกลับมาหมุนเวียนกันเป็นคณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เป็นระยะเวลาถึง 13 ปี จนมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นั่นคือ ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489                       

รัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 นี้ แม้จะยกเลิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 และให้มีสมาชิกพฤฒสภาขึ้นแทน แต่ก็ยังกำหนดให้สมาชิกพฤฒสภามีสิทธิ์ในการรับรองคณะรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง  และแม้ว่าจะกำหนดให้สมาชิกพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 นี้ได้กำหนดไว้ว่า ในช่วงแรกให้สมาชิกพฤฒสภามาจากการเลือกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ทีนี้ เรามาดูกันว่า สมาชิกพฤฒสภาที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกขึ้นมาเป็นจำนวน 80 คนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นใครและพวกใครบ้าง   และทำไมคนในสมัยนั้นถึงเรียกพฤฒสภาว่าเป็น “สภาปรีดี”    พฤฒสภาเต็มไปด้วยคนของปรีดีจริงหรือ ?

ในการตอบข้อสงสัยข้างต้น ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงภูมิหลังของสมาชิกพฤฒสภาทั้งหมด 80 ท่าน เพื่อเป็นข้อมูลในการประเมินข้อน้ำหนักความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับการตั้งฉายา “พฤฒสภา” ว่าเป็น “สภาปรีดี” โดยไล่ไปตามลำดับตัวอักษร โดยตอนที่แล้วได้กล่าวถึงภูมิหลังของสมาชิกพฤฒสภาจำนวน 10 ท่าน ได้ข้อสรุปด้งนี้

สมาชิกพฤฒสภา

ปรีดี

ไม่ใช่พวกปรีดี

  แนวโน้มสนับสนุนปรีดี

ไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นฝ่ายใด

ม.ล. กรี  เดชาติวงศ์

   +

 

 

 

ร.อ. กำลาภ  กาญจนสกุล ร.น.

   +

 

 

 

พ.ท.  ก้าน  จำนงภูมิเวท 

 

   +

 

 

แก้ว  สิงหะคเชนทร์

 

 

 

     +

หลวงกาจสงคราม

 

   +

 

 

พลเรือตรี กระแส  ประวาหะนาวิน  สรยุทธเสนี

 

 

 

+

 

พลโท หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต

 

  +

 

 

เขียน  กาญจพันธุ์ 

 

 

 

     +

พลโท จิร  วิชิตสงคราม

 

 

 

     +

จรูญ สืบแสง

    +

 

 

 

ท่านต่อไปคือ คุณจิตตะเสน  ปัญจะ

คุณจิตตะเสนสมาชิกคณะราษฎร สายพลเรือน [1] ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482 และเป็นเลขาธิการรัฐสภาระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน 2486 - 16 สิงหาคม 2486 ด้วยเหตุผลที่ว่า คุณจิตตะเสนเป็นผู้ที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ไว้วางใจ [2] อีกทั้งเมื่อจอมพล ป. พิบูลสงครามให้มีการทำรัฐประหารตัวเขาเองเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494  คุณจิตตะเสนก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 [3]

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า การที่คุณจิตตะเสนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกพฤฒสภา ไม่ได้มีส่วนทำให้พฤฒสภาเป็น “สภาปรีดี”

ต่อไปคือ พันโท เจือ  สฤษฎิ์ราชโยธิน                         

จากการค้นข้อมูล ไม่พบว่าเป็นสมาชิกคณะราษฎร แต่พันโทเจือเคยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2487  แทนนายหงวน ทองประเสริฐ     พันโทเจือมาจากครอบครัวทหาร บิดาคือเรือโท วิจารณ์ โภคากรวิจารณ์ พันโทเจือสมรสกับ ม.ร.ว. ศิริมาน สนิทวงศ์ ธิดาพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสาย สนิทวงศ์และหม่อมบาง สนิทวงศ์  ได้พระราชทานยศร้อยตรีเมื่อ พ.ศ. 2466  ในปี พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มาประจำกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กองพัน 3   พ.ศ. 2484 เป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 9 ทหารรักษาวัง  ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 ท่านได้ลาออกจากบรรดาศักดิ์ ขุนสฤษฎิ์ราชโยธิน เป็น พ.ท. เจือ สฤษดิ์ราชโยธิน

ในกรณีที่ไม่ได้ถูกถอดบรรดาศักดิ์  การออกจากบรรดาศักดิ์มีสองกรณี คือ สมัครใจลาออก กับออกเพราะมีการยกเลิกบรรดาศักดิ์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2485  เหตุผลที่ให้มีการการยกเลิกบรรดาศักดิ์ เพราะ “…มีข้าราชการที่มีบรรดาศักดิ์ทั้งที่อยู่ในราชการและนอกราชการตั้งแต่ผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นสูงลงมาจนถึงผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นผู้น้อยได้ลาออกจากบรรดาศักดิ์เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังคงมีผู้มีบรรดาศักดิ์บางคนยังคงดำรงอยู่ในบรรดาศักดิ์ยังมิได้ขอคืน จึงดูเป็นการลักลั่นไม่เป็นระเบียบ ทั้งยังจะทำให้เข้าใจผิดไปว่า ผู้มีบรรดาศักดิ์นั้นจะมีสิทธิพิเศษดีกว่าผู้อื่นด้วย เหตุนี้จึงเป็นการสมควรที่จะยกเลิกบรรดาศักดิ์ที่พระราชทานไปแล้นวนั้นเสีย เพื่อแก้ความเข้าใจผิดอันอาจเกิดขึ้นได้ดังกล่าวแล้ว….” (ประกาศเรื่องยกเลิกบรรดาศักดิ์ วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59 ตอนที่ 33)  และพระบรมราชโองการประกาศยกเลิกบรรดาศักดิ์ดังกล่าวนี้ ผู้รับสนองคือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม                                                                       

จะเห็นได้ว่า พันโทเจือเป็นหนึ่งในบรรดาข้าราชการที่สมัครใจออกจากบรรดาศักดิ์ เพราะท่านได้ขอลาออกก่อนหน้าที่จะมีการประกาศยกเลิก           อีกสองปีต่อมา พ.ศ. 2487  พันโทเจือได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2   และตามรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ผู้ที่อำนาจแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 คือ คณะรัฐมนตรี  และคณะรัฐมนตรีที่แต่งตั้งพันโทเจือเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 คือ คณะรัฐมนตรี คณะที่ 10 ที่มีจอมพล ป. พิบูลงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี

สาเหตุที่เป็นไปได้ที่ท่านพันโทเจือได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2  อาจจะเกี่ยวกับการที่ท่านเป็นบุตรเขยของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสาย สนิทวงศ์ และหนึ่งในพระโอรสของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสาย สนิทวงศ์ คือ เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (ม.ร.ว. สท้าน สนิทวงศ์) และหนึ่งในบุตรของ ม.ร.ว. สท้าน สนิทวงศ์คือ หม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์ (หลวงเดชสหกรณ์)  และหม่อมหลวงเดชเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจในคณะรัฐมนตรี คณะที่ 10   

หม่อมหลวงเดชและพันโทเจือมีอายุไม่ห่างกันมากนัก หม่อมหลวงเดชอายุมากกว่าพันโทเจือ 5 ปี และทั้งสองถือว่าเป็นญาติกัน เพราะหากนับญาติกันแล้ว พันโทเจือมีศักดิ์เป็นอาเขยของหม่อมหลวงเดช เพราะพันโทเจือสมรสกับ  ม.ร.ว. ศิริมาน สนิทวงศ์ น้องสาวของ ม.ร.ว. สท้าน ผู้เป็นบิดาของหม่อมหลวงเดช และหม่อมหลวงเดชไม่ได้เป็นสมาชิกคณะราษฎร แต่ได้เป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีภายใต้พระยามโนปกรณ์นิติธาดา และได้เป็นรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2481 ที่มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้ง เมื่อนายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2487  หม่อมหลวงเดชก็ได้เป็นรัฐมนตรี และแม้หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ก็ยังได้เป็นรัฐมนตรี และได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรี เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2490 และเป็น “ประธานองคมนตรี” ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518  นับว่าเป็น “ประธานองคมนตรีคนที่ 5 ในสมัยรัชกาลที่เก้า

แม้หม่อมหลวงเดชจะไม่ได้เป็นสมาชิกคณะราษฎร แต่ในช่วงที่ได้รับทุนรัฐบาลให้ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศเยอรมนี ซึ่งมีนักเรียนไทยที่ไปศึกษาต่อที่เยอรมนีขณะนั้นคือ นายเติม บุนนาค นายตั้ว ลพานุกรม นายประจวบ บุนนาค และหม่อมหลวงอุดม สนิทวงศ์ โดยต่อมานายตั้ว นายประจวบ และหม่อมหลวงอุดมล้วนเข้าเป็นสมาชิกคณะราษฎร ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

แต่การที่หม่อมหลวงเดชได้เป็นรัฐมนตรีภายใต้พระยามโนฯ จอมพล ป. และนายควง และต่อมาได้เป็นองคมนตรีและประธานองคมนตรี น่าจะสะท้อนให้เห็นว่า การที่ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีภายใต้นายกรัฐมนตรีสามท่าน สามขั้วการเมือง เพราะท่านเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมากกว่าจะด้วยเหตุผลของการเป็นพวกใครในทางการเมือง ท่านจบปริญญาเอก สาขาเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยกรุงเบอร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

และหากการได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ของพันโทเจือมาจากสายสัมพันธ์ที่ท่านมีอยู่กับหม่อมหลวงเดช ก็อาจตีความได้ว่า พันโทเจือเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 โดยไม่ได้เป็นเรื่องฝักใฝ่ทางการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งระหว่างจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายปรีดี พนมยงค์ และนายควง อภัยวงศ์  และการที่ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกพฤฒสภาในปี พ.ศ. 2489 ก็ไม่น่าจะเป็นเพราะเรื่องมีฝักฝ่ายทางการเมืองด้วย  และหลังจากรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ไม่ปรากฏว่า พันโทเจือได้รับตำแหน่งหรือมีบทบาททางการเมืองแต่อย่างใด

แต่ก็มีข้อน่าสังเกตว่า เมื่อครั้งนายปรีดี เป็นนายกรัฐมนตรี หม่อมหลวงเดชมิได้เข้าร่วมในคณะรัฐมนตรี  สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นเพราะความขัดแย้งเห็นต่างในครั้งที่มีการเสนอนโยบายเศรษฐกิจหรือเค้าโครงเศรษฐกิจของปรีดี ซึ่งในการลงมติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2476  หม่อมหลวงเดชในฐานะรัฐมนตรีเป็นหนึ่งใน 11 รัฐมนตรีที่ลงมติไม่เห็นด้วยกับเค้าโครงเศรษฐกิจของปรีดี แต่เห็นด้วยกับนโยบายเศรษฐกิจของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี

จากข้อมูลข้างต้น กล่าวได้ว่า การได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกพฤฒสภาของพันโทเจือ ไม่ได้มีส่วนทำให้พฤฒสภาเป็น “สภาปรีดี”

สรุปล่าสุด คือ

สมาชิกพฤฒสภา

ปรีดี

ไม่ใช่พวกปรีดี

  แนวโน้มสนับสนุนปรีดี

ไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นฝ่ายใด

ม.ล. กรี  เดชาติวงศ์

   +

 

 

 

ร.อ. กำลาภ  กาญจนสกุล ร.น.

   +

 

 

 

พ.ท.  ก้าน  จำนงภูมิเวท 

 

   +

 

 

แก้ว  สิงหะคเชนทร์

 

 

 

     +

หลวงกาจสงคราม

 

   +

 

 

พลเรือตรี กระแส  ประวาหะนาวิน  สรยุทธเสนี

 

 

 

+

 

พลโท หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต

 

  +

 

 

เขียน  กาญจพันธุ์ 

 

 

 

     +

พลโท จิร  วิชิตสงคราม

 

 

 

     +

จรูญ สืบแสง

    +

 

 

 

จิตตะเสน ปัญจะ

 

  +

 

 

พันโท เจือ  สฤษฎิ์ราชโยธิน 

 

 

 

     +

จากที่ศึกษาภูมิหลังสมาชิกพฤฒสภาไปทั้งสิ้น 12 ท่านในทั้งหมด 80 ท่านพบว่า มีสมาชิกที่จัดได้ว่าเป็นพวกปรีดี 3 ท่าน มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนปรีดี 1 ท่าน ไม่ใช่พวกปรีดี 4 ท่าน ไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นฝ่ายใดแน่ 4 ท่าน

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


[1] ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์, “คณะราษฎร” ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475, https://pridi.or.th/th/content/2023/06/1563     

[2] พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์, ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (22): ญี่ปุ่นไม่ไว้ใจ นายปรีดี พนมยงค์ และหลวงอดุลเดชจรัส, ศิลปวัฒนธรรม https://www.matichonweekly.com/column/article_782438

[3] https://www.senate.go.th/assets/portals/49/news/42/2_ประวัติความเป็นมาของสมาชิกรัฐสภา.pdf.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้