ผมตั้งวงคุยกับผู้รู้หลายวงการว่าด้วยปัญหา “เงินหายจากมือถือ” โดยไม่รู้ตัว ได้ข้อสรุปว่าข่าวร้ายคือไม่มีมาตรการใดจะปลอดภัย 100%
ข่าวดีคือเราสามารถสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” สู้กับภัยไซเบอร์ได้หากเราพร้อมศึกษาเรียนรู้เพื่อเป็นพลเมืองแห่งโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง
เมื่อเราอยู่ในยุคสมัยของโลกดิจิตอลที่ “โจร” รู้ทันเราในเกือบทุกเรื่อง จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องหาทางป้องกันตนเองอย่างเต็มที่
เพราะเราไม่สามารถจะถอยหลังกลับไปสู่โลกเก่า และไม่อาจจะขัดขวางการรุกคืบของเทคโนโลยีได้
คุณสมคิด จิระนันทรัตน์, ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์การเงินที่ผมคุยด้วยวันก่อน, บอกว่ากรณีเงินรั่วไหลจากบัญชีธนาคาร กระทบคนเป็นหมื่นคน ทั้งๆ ที่บางคนไม่เคยซื้อของ online ด้วยซ้ำนั้น มีต้นตอที่ต้องศึกษาและทำความเข้าใจให้รอบด้าน
ในกรณีปกติ เรื่องอย่างนี้มักเกิดจากการที่ข้อมูลของเรารั่วไหลออกไปอาจจะหลุดไปจากธนาคาร
หรือร้านค้าหรือจากตัวเราเอง
หรือจากบุคคลที่สามที่ล่วงรู้ข้อมูลของเรา
“แต่ในกรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากข้อมูลรั่วไหลจากธนาคารอย่างแน่นอน เพราะธนาคารในปัจจุบันให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และแถมยังถูกกำกับและตรวจสอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยอีก ข้อมูลในส่วนของธนาคารจึงไม่ได้รั่วไหลได้ง่ายๆ”
คำถามต่อมาคือ ข้อมูลนี้รั่วไหลจากร้านค้า online หรือไม่ เพราะลูกค้าบางคนไม่เคยซื้อของ online ด้วยซ้ำไป
คุณสมคิดบอกว่าน่าจะเกิดจากความหย่อนยานของกระบวนการรับบัตรทาง online ของร้านค้าใหญ่บางแห่ง
เพราะหากเป็นรายการเล็กๆ จะไม่ตรวจสอบแม้กระทั่ง cvv ซึ่งเป็นเลขหลังบัตร ที่อย่างน้อยเป็นด่านสำคัญเบื้องต้นในการยืนยันตัวตน
เพราะอะไรหรือ?
อาจจะเป็นเพราะร้านค้าเหล่านี้ต้องการให้ลูกค้าสะดวก และทำได้รวดเร็ว หรือคิดว่าหากเสียหายก็สามารถชดใช้ได้ เพราะคิดเสียว่าความสะดวกน่าจะทำให้ได้ลูกค้ามากกว่า
นั่นแหละเป็นเหตุให้คนร้ายสามารถคาดเดาเลขบัตรเครดิต ซึ่งใช้ในการระบุเพื่อชำระเงินได้ไม่ยาก
คนร้าย “คาดเดา” เลขบัตรได้หรือ?
เป็นไปได้หากเขามีความเชี่ยวชาญบางด้าน เพราะเขาไม่ได้สนใจว่าเป็นของใคร และคาดเดาวันหมดอายุก็ไม่ยาก หากคาดเดาถูก ก็จะสามารถเดาชุดของข้อมูลที่ออกในคราวเดียวกันได้อีก
เช่นครั้งนี้จะเห็นรายการเล็กๆ ที่ไม่เกิน 1-2 ดอลลาร์เป็นจำนวนมาก
กรณีนี้ไม่น่าจะเป็นเพราะข้อมูลรั่วไหล แต่เป็นการคาดเดาข้อมูลที่ใช้ในการชำระเงิน ที่ขั้นตอนการยืนยันตัวตนค่อนข้างอ่อนแออย่างที่บอกไว้
ซึ่งสอดคล้องกับที่แถลงโดยคุณสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคุณผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะประธานสมาคม ธนาคารไทย
โดยรายงานพบว่า 80-90% มาจากการดูดเงินผ่านบัตรเดบิต โดยพฤติการณ์ของคนร้ายคือการ “สุ่ม” หน้าบัตร และวันหมดอายุ เพื่อโจรกรรมเงิน
ส่วนใหญ่จะเป็นการทำร้านค้าในต่างประเทศ
สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจโดย พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน ผู้บังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ระบุว่าคนร้ายมีข้อมูลหมายเลขหน้าบัตรและหลังบัตร รวมถึงวันหมดอายุของบัตร
สันนิษฐานว่าอาจเกิดจาก 3 รูปแบบ
1.เป็นการผูกบัญชีบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัญชีธนาคารเข้ากับแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น apps ออนไลน์ และข้อมูลเกิดหลุดไปถึงแก๊งมิจฉาชีพ
2.การส่ง SMS หลอกลวง ที่จะส่งลิงก์มาตาม sms เข้ามือถือผู้เสียหาย และให้กรอกข้อมูลต่างๆ เช่น ปล่อยเงินกู้ ไปรษณีย์ไทย
3.การใช้บัตรเครดิต และบัตรเดบิตในชีวิตประจำวัน เช่น การให้บัตรพนักงานไปชำระค่าสินค้าและบริการในห้าง หรือการเติมน้ำมัน อาจถูกพนักงานเก็บข้อมูลเลขหน้าบัตร 16 หลัก และเลข cvv หลังบัตร 3 ตัว ซึ่งคนร้ายอาจมีการรวบรวมข้อมูลและขายต่อในตลาดมืด
แล้วเราจะป้องกันตัวเองอย่างได้ผลจริงๆ อย่างไร?
คุณสมคิดแนะนำวิธีการหลักอย่างนี้
1.ต้องรับรายการที่มีการระบุ cvv หลังบัตรจึงจะยอมรับการชำระเงินได้ แม้จะเป็นรายการเล็กๆ ก็ตาม
2.ธนาคารต้องตรวจสอบการซื้อขายที่ผิดปกติ แม้เป็นรายการเล็ก แต่หากเกิดกับคนจำนวนมากและเกิดซ้ำหลายครั้ง ก็เกิดผลกระทบวงกว้างได้
3.ลูกค้าต้องหมั่นตรวจสอบรายการเตือนการชำระเงินทาง mobile banking และธนาคารแห่งประเทศไทยควรกำหนดให้ทุกธนาคารต้องมีการเตือนทุกรายการ แม้เป็นรายการเล็กๆ ที่ก่อนหน้านี้บางธนาคารอาจมองว่าไม่คุ้มทุนในการเตือน
4.ธนาคาร ร้านค้า และลูกค้าต้องระวังในการรักษาข้อมูลพึงสงวนไม่ให้แพร่หลาย
5.ต้องใช้มาตรฐานสูงในการใส่รหัสเก็บข้อมูลความลับ ไม่ให้ล่วงรู้ข้อมูลสำคัญ แม้ว่าข้อมูลจะรั่วไหลออกไป เป็นการป้องกัน 2 ชั้น
เมื่อรู้สาเหตุและทางออกก็เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องปรับพฤติกรรมให้ “รู้ทัน” โจรยุคดิจิตอล
เพื่อเราจะก้าวพ้นความกลัวหรือความไม่มั่นใจในฐานะเป็น “พลเมืองยุคดิจิตอล” อย่างเต็มภาคภูมิได้!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


