เมื่อเกิดสงครามยูเครน การเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียกับตะวันตกทำให้เกิดภาพของการแบ่งโลกเป็นสองขั้ว
ขั้วตะวันตกกับขั้วจีนบวกรัสเซีย
จีนกับรัสเซียมีกลุ่มที่เรียกว่า BRICS ซึ่งเพิ่งเปิดการประชุมประจำปีเมื่อวันพฤหัสฯ
พร้อมคำประกาศว่า นี่เป็นความร่วมมือของกลุ่มประเทศที่ไม่เอาตะวันตก
สอดคล้องกับที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ที่บอกว่ายุคแห่งโลกที่มีมหาอำนาจประเทศเดียวชี้นิ้วสั่งการทุกคนได้นั้นสิ้นสุดลงแล้ว
สิ่งที่เรียกว่า Unipolar World หรือโลกขั้วเดียวไม่มีอีกต่อไป
โลกจะมีประเทศมหาอำนาจมากกว่าหนึ่งขั้ว
จีนสยายปีกขึ้นมาท้าทายเบอร์หนึ่งคือสหรัฐฯ
ส่วนรัสเซียจะอยู่เบอร์ 3 หรือเป็นอินเดียหรือญี่ปุ่นก็ยังไม่มีการวิเคราะห์กันอย่างลงตัว
การประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS ครั้งที่ 14 จัดแบบออนไลน์โดยมีปักกิ่งเป็นเจ้าภาพ
BRICS มีประชากรรวมกัน 43% และ 1 ใน 4 ของจีดีพีโลก
จีนมีเศรษฐกิจเท่ากับ 70% ของทั้งกลุ่มเลยทีเดียว
ที่แน่ๆ คือการประชุม BRICS ครั้งนี้มีความสำคัญตรงที่ปูตินประกาศว่ารัสเซียปรับยุทธศาสตร์ของตนใหม่
จะหันมาคบหาและค้าขายกับประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตะวันตก
และยกตัวอย่างว่าจีนกับอินเดียจะเป็นคู่ค้าที่สำคัญมากขึ้นทุกที
จีนเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดที่เริ่มเมื่อวันพฤหัสบดี ของห้าประเทศกลุ่ม BRICS อันได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้
ท่ามกลางการจับตามองของนานาชาติต่อท่าทีของประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญเหล่านี้ เรื่องสงครามในยูเครน
ก่อนวันงานวันเปิดของการประชุมระดับผู้นำ ก็มีการตั้งวงของแกนนำภาคธุรกิจของกลุ่มนี้
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนกล่าวเปิดงาน และหนีไม่พ้นที่เขาต้องพูดถึงความกังวลต่อสงครามยูเครน
เริ่มด้วยการชี้นิ้วกล่าวหาตะวันตก
โดยเฉพาะตำหนิมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย...โดยมีสหรัฐฯ เป็นแกนนำ
สำนักข่าวซินหัว กระบอกเสียงหลักของทางการจีน เผยแพร่คำพูดของผู้นำจีนที่การประชุมงาน BRICS Business Forum ของภาคธุรกิจว่า
“วิกฤตยูเครนส่งเสียงเตือนอีกครั้งต่อมวลมนุษยชาติ”
สี จิ้นผิง บอกที่ประชุมออนไลน์พุ่งเป้าไปที่ “พันธมิตรทางทหาร” ด้วย
“ประเทศต่างๆ จะต้องเผชิญกับความยากลำบากด้านความมั่นคงอย่างแน่นอน ถ้ายังหลับหูหลับตาเชื่อในท่าทีของตนเรื่องความแข็งแกร่ง และมุ่งขยายพันธมิตรทางทหาร รวมถึงแสวงหาความปลอดภัยให้กับตนเอง โดยสร้างความเดือดร้อนต่อผู้อื่น”
ไม่ต้องสงสัยว่าผู้นำจีนหมายถึงใคร และต้องการจะแสดงจุดยืนที่อยู่เคียงข้างกับรัสเซีย
ผมพยายามฟังว่า สี จิ้นผิง มีข้อเสนอทางออกจากสงครามยูเครนอย่างเป็นรูปธรรมอย่างไรหรือไม่
ต้องคอยดูบทสรุปของการประชุมระดับนำ จึงจะรู้ว่ากลุ่ม BRICS จะมีข้อเสนอที่เป็นทางการเพื่อหาทางออกจากสงครามยูเครนอย่างไร
ที่สำคัญคือ ที่ประชุมจะเชื่อตามที่ปูตินได้แสดงจุดยืนมาตลอด 4 เดือนของสงครามที่ผ่านมาหรือไม่
ผู้นำจีนตอกย้ำว่า การใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อประเทศอื่นจะไม่ได้ผล
ตรงกันข้าม กลับกลายเป็น “บูมเมอแรง” ตีย้อนกลับมายังประเทศที่เป็นผู้กระทำด้วยซ้ำ
อีกทั้งยังจะเป็น “ดาบสองคม” สำหรับประเทศที่เป็นผู้ร่วมในการคว่ำบาตรประเทศอื่น
และเสริมว่าประชาคมโลกจะเดือดร้อนจากกระแสเศรษฐกิจและการเคลื่อนไหวทางการเงินที่ถูกทำให้เป็นประเด็นการเมือง และทำให้เป็น “อาวุธ” มาประหัตประหารกัน
แน่นอนว่าปูตินของรัสเซียก็ต้องมีถ้อยแถลงของตนบนเวทีที่ส่วนใหญ่มีความเห็นอกเห็นใจตน
ปูตินบอกว่ารัสเซียกำลังเปลี่ยนตลาดการซื้อขายสินค้าและส่งออกน้ำมันไปยังห้าประเทศกลุ่ม BRICS มากขึ้น
เพราะต้องการจะเดินหน้าต่อต้านมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจจากโลกตะวันตก
โดยเฉพาะกรณีตะวันตกพยายามจะแบนการสั่งเข้าน้ำมันและก๊าซจากรัสเซีย
ปูตินบอกว่ามอสโกกำลังเจรจาให้เพิ่มการสั่งซื้อรถจากประเทศจีนเพื่อใช้ในรัสเซีย
และจะเปิดทางให้ซูเปอร์มาร์เก็ตอินเดียเริ่มธุรกิจในรัสเซียได้เพื่อเสริมสร้างโอกาสการทำมาหากินระหว่างกัน
ปูตินคงจะรู้ผลกระทบที่ประเทศในสหภาพยุโรปถอนธุรกิจค้าปลีกและรายใหญ่ๆ ออกจากรัสเซียเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการบอยคอต
จึงต้องหันมาจับมือกับประเทศในกลุ่ม BRICS เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ
ปูตินย้ำว่า “ถึงเวลาที่รัสเซียจะขยายบทบาทในกลุ่ม BRICS แล้ว และการส่งออกน้ำมันจากรัสเซียไปยังจีนและอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
ตั้งแต่เกิดสงครามยูเครน สถิติการค้าขายระหว่างรัสเซียกับอินเดียก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลของศุลกากรจีนชี้ชัดว่า จีนได้เพิ่มการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียถึง 55% เฉพาะในเดือนพฤษภาคมเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่น่าสนใจก็คือ รัสเซียได้กลายเป็นผู้ขายน้ำมันให้จีนอันดับหนึ่งที่เดิมเป็นซาอุดีอาระเบียในเดือนเดียวกันนั้นด้วย
เหตุผลไม่มีอะไรซับซ้อน
เพราะรัสเซียขายน้ำมันให้กับจีนและอินเดียใน “ราคามิตรภาพ” มีส่วนลดพิเศษ
ด้านหนึ่งอาจจะมองว่าเป็น “มิตรในยามยาก”
อีกด้านหนึ่งถือได้ว่าเป็นการแสดงความสมัครสมานสามัคคีของประเทศกลุ่มที่ไม่เอากับตะวันตก
อีกประเด็นหนึ่งที่ปูตินเน้นคือการลดการพึ่งพาตะวันตกเรื่องระบบการเงิน
เขาบอกว่าระบบธุรกรรมการเงินข้ามประเทศของรัสเซียจะเปิดการเชื่อมต่อกับประเทศกลุ่ม BRICS มากขึ้นกว่าเดิม
และยังมีสามารถชำระเงินผ่านระบบ MIR ของรัสเซียเพิ่มมากขึ้น
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษในกรณีนี้คือ ที่ผู้นำรัสเซียบอกว่าเขากำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะสร้างเงินสำรองระหว่างประเทศที่อ้างอิงตะกร้าของเงินสกุลในประเทศกลุ่ม BRICS อย่างจริงจังอีกด้วย
นั่นหมายถึงการไม่พึ่งพาดอลลาร์ และจะร่วมกันสร้างกลไกทางความร่วมมือทางการเงินในกลุ่มนี้กันเอง
นับเป็นความเคลื่อนไหวที่เร่งความร้อนแรงขึ้น...และจะเป็นการพิสูจน์อีกด้านหนึ่งว่า สงครามยูเครนจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับเครือข่ายยักษ์ๆ อย่าง BRICS ที่จะมาทดแทนกลุ่มก้อนทางตะวันตกได้มากน้อยเพียงใด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ
แหล่งค้ามนุษย์ใน 3 เหลี่ยมทองคำ
เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ SEZ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่โยงกับไทยนั้นกลายเป็นประเด็นเรื่องอาชญกรรมข้ามชาติที่สมควรจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง
ไบเดนหรือทรัมป์? เอเชียน่าจะเลือกใครมากกว่า?
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการดีเบตระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ วันนี้ (เวลาอเมริกา) จะไม่ให้ความสำคัญต่อเอเชียหรืออาเซียน
พรุ่งนี้ ลุ้นดีเบตรอบแรก โจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์
ผมลุ้นการโต้วาทีระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (27 มิถุนายน) เพราะอยากรู้ว่า “ผู้เฒ่า” สองคนนี้จะมีความแหลมคมว่องไวในการแลกหมัดกันมากน้อยเพียงใด
เธอคือ ‘สหายร่วมรบ’ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค NLD คนสุดท้าย!
อองซาน ซูจีมีอายุ 79 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา...และยังถูกจำขังในฐานะจำเลยของกองทัพพม่าที่ก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว