'อาถรรพณ์' รัฐธรรมนูญ

บอกแล้วว่าวันนี้ "เลือดสาด"

ก็สาดจริงๆ มั้ยล่ะ?

ประชุมรัฐสภาเมื่อวาน (๖ ก.ค.) พิจารณาร่าง พ.ร.ป.พรรคการเมือง วาระ ๒ พอถึงมาตรา ๒๓ ว่าด้วยจะหาร  ๑๐๐ หรือ ๕๐๐ เท่านั้นแหละ

๖ โมงเย็น ตะวันรอนๆ แทนที่จะเย็น

แต่ที่รัฐสภากลับร้อนฉ่า ระดับถึงจุดเดือด ๑๐๐ องศาเซลเซียส!

ผมมัวไปทางโน้น-ทางนี้ มานั่งหน้าจอ ช่อง ๑๐  รัฐสภา ก็ตอนหมอระวี "นพ.ระวี มาศฉมาดล" หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ที่โด่กลางแดด "เอาหาร ๕๐๐" มาตั้งแต่ต้น

กำลังสาธยายมนตร์ "เรียกเนื้อ-เรียกปลา"

ฟังเหตุ-ฟังผลบนฐานเจตนารมณ์ "สัดส่วนพึงมี" ของคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ และการแยกธาตุให้ดู ระหว่างหาร ๑๐๐ กับหาร ๕๐๐ แล้ว

คุณหมอระวีนี่มี "มนตร์ขลัง" แฮะ!

เพราะเท่าที่สังเกต ผู้ต้องการเหตุผลประกอบการตัดสินใจให้ความสนใจฟังโดยสงบ

มีแต่ "เพื่อไทย-ฝ่ายร้อยหาร" เท่านั้น เมื่อหมอระวีร่ายมนตร์ภาณยักษ์ ผีสัมภเวสีที่สิงในร่าง ส.ส.กระโดดคว้าไมค์กรี๊ดๆๆๆ ใส่ ทนไม่ได้......

ทั้งประท้วงผู้อภิปราย ทั้งประท้วงผู้ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา เรียกว่าขัดจังหวะ ทำลายมนตร์ ก่อนที่คนในรัฐสภาจะคล้อยตาม "หารห้าร้อย"

จะว่าไปแล้ว คนเป็นหมอนี่ ลองเอาจริงด้านไหนแล้ว เป็นฉกาจ-ฉกรรจ์ทุกด้าน สมองคน มีเซลล์ประสาทอยู่ราวๆ ๑ แสนล้านเซลล์

แต่พวกหมอ คงมากกว่าแน่ๆ!

เพราะเท่าที่สังเกต หมอที่เข้ามาในวงการเมือง ไม่ใช่แค่สมองอัจฉริยะเท่านั้น ยังมีศิลปะในการอธิบายความโน้มน้าวใจคนได้เก่ง

"หลักแน่น" อีกตะหาก!

อย่างที่กรรมาธิการเสียงข้างน้อยสงวนความเห็นในเรื่องนี้ไว้ คือไม่เห็นด้วยกับ กมธ.เสียงข้างมากที่เอาหาร  ๑๐๐ และลุกขึ้นมาอรรถาธิบายว่าหาร ๕๐๐ เป็นสูตรคำนวณที่ถูกต้อง

แต่ละท่าน เป็นหมอทั้งนั้่น

นอกจากหมอระวีแล้ว ยังมี พล.อ.ต.นพ.เฉลิมชัย  เครืองาม ส.ว.ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย ท่านแจงได้ครบเครื่อง หนักแน่น ทั้งเรื่องกฎหมายและเรื่องเหตุผล น่าใคร่ครวญ

แล้วยังมีนายแพทย์ "กิตติ วะสีนนท์" อีก

เรียกว่า ฟังแต่ละหมอแล้ว ทั้งรัฐสภา (ยกเว้นเพื่อไทย) แทบจะยกมือเอาหาร ๕๐๐ เดี๋ยวนั้นเลย!

"ชลน่าน" นั่นก็เถอะ.......

ในความเป็นหมอ ก็พูดเก่ง หลักแน่น แต่ขึ้นอยู่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนเท่านั้น เผอิญตอนนี้ อยู่ฝั่งหารร้อย ท่านก็แน่นในหลักร้อย

นอกจากท่านเก่งทุกด้านแล้ว กระทั่งการ "โค้งคำนับ" หัวหน้าครอบครัวใหญ่ ท่านชลน่านก็โค้งได้เก่ง หัวแทบจรดพื้น สวยงาม เป็นต้นแบบ "หัวหน้าพรรค" ระดับเด็กดีในครอบครัวได้เลย

สรุปความแล้ว จะ ๓ ทุ่ม ก็ยังทุ่มเถียงเกี่ยง ๑๐๐  เกี่ยง ๕๐๐ กันอยู่ ดูท่าจะรอผลลงเอยเพื่อนำมาคุยไม่ทันแน่

ฉะนั้นก็ ขอดุ่ยๆ คุยเรื่อยเปื่อย เพื่อให้ไทยโพสต์ได้พิมพ์ทันเวลา ส่วนหวยสูตรคำนวณ จะออก ๑๐๐ หรือ  ๕๐๐

เช้าวันนี้ (๗ ก.ค.) ท่านก็คงรู้กันแล้ว เพราะยุคนี้ ข่าวสารดิจิทัลออนไลน์ ไวยิ่งกว่าโทรจิต!

ที่ขำก็คือ......
ฝ่ายกรรมาธิการฯ ระหว่างเสียงข้างมากกับเสียงข้างน้อย แปรญัตติเป็นร่างเข้ารัฐสภาในวาระ ๒ เรียบร้อยมาด้วยกัน

แล้วมาถกเถียง "ขัดแย้งกันเอง" กลางรัฐสภา!

ฝ่ายพรรครัฐบาลที่ว่าพลิกจะเอาหาร ๕๐๐ แต่นายไพบูลย์ นิติตะวัน พลังประชารัฐ นายนิกร จำนง ชาติไทยพัฒนา กระทั่งประชาธิปัตย์ ขึ้นมาบอก

เห็นด้วย "หาร ๑๐๐"!?

ส่วนเพื่อไทย-ฝ่ายค้าน นั่นไม่ต้องพูดถึง ดูจากอาการแล้ว ผิดจากหาร ๑๐๐ ถ้าเผาได้เหมือนปี ๕๓ คงจะ "เผารัฐสภาไปเลย...พี่น้อง" แหงๆ

สรุป ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.มีทั้งฝ่าย ๑๐๐ และฝ่าย ๕๐๐

แต่ไม่ว่าจะออกฝ่ายไหน เจ๊ง หรือ เจ๊า

"ล้านเปอร์เซ็นต์"

ไปจบที่ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ตีความ ตามตัวบทกฎหมาย!           

เพราะว่ากันตรงๆ มันเห่ยที่พรรคอยากแก้รัฐธรรมนูญกันเอง

มุ่งจะแก้กันจากบัตรใบเดียว เป็นบัตร ๒ ใบ ส.ส.เขต  ๔๐๐ ปาร์ตี้ลิสต์ ๑๐๐ อย่างเดียว

ถ้าจำกันได้ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เสนอเข้าสภาตอนนั้นมี ๑๓ ฉบับ ทั้งของฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล

ที่ประชุมรัฐสภา รับหลักการฉบับเดียว

คือ ร่างแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๘๓ มาตรา ๙๑ ที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" เป็นผู้เสนอ

ขอแค่นั้น ก็ได้แค่นั้น!

คือขอ ส.ส. ๕๐๐ เป็น ส.ส.เขต ๔๐๐ เป็นปาร์ตี้ลิสต์  ๑๐๐ ก็แก้จากมาตรา ๘๓ ได้ไปตามนั้น

ส่วนมาตรา ๙๑ ว่าด้วยการคำนวณหา ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แต่ละพรรคการเมือง จากเดิม ที่แก้ใหม่ประกาศใช้เรียบร้อยไปแล้วตั้งแต่ ๗ พฤศจิกา ๖๔ มีความว่า

“การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกตั้ง ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศ แล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมืองเป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น

โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำ นวณได้เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น

หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ การออกเสียงลงคะแนน การนับคะแนน การรวมคะแนน การประกาศผลการเลือกตั้ง และการอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”

ก็ไม่ได้ระบุนี่ว่า ให้หาร ๑๐๐ หรือหาร ๕๐๐ บอกเพียงว่า "ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร"

ก็ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ที่ร่างกันเอง ถกกันเอง แปรญัตติกันเอง ลงท้ายก็มาฟัดกันเองเลือดสาดกลางรัฐสภา ว่าจะ ๑๐๐ หรือ ๕๐๐ นี่ไงล่ะ

พูดกันตรงๆ ส.ส. "ห่วยแตก" เอง!

ไม่สมกับที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติเลย ก็ไม่รู้หรือว่า อันรัฐธรรมนูญนั้น แต่ละมาตรา มีความเชื่อมโยงถึงกันไปในหลายๆ มาตรา

ยิ่งโดยเฉพาะเรื่องเลือกตั้ง เรื่องสัดส่วนพึงมี อะไรเหล่านี้ รากมันระโยง-ระยางไปถึงอีกนับสิบๆ มาตรา จนไปถึงกฎหมายลูก

แต่ขอแก้กันแค่ มาตรา ๘๓, ๘๖ และ ๙๑!

ก็รู้อยู่แล้ว เรื่องกฎหมาย มันดิ้นได้หลายตลบยิ่งกว่าหมอนข้างมีชีวิต

เมื่อแก้ไม่รัดกุม ไม่ครอบคลุมเป็นกรอบไว้ มันก็ดิ้นได้ตอนกฎหมายลูกนี่แหละ

ว่าไปอีกที........

รัฐธรรมนูญฉบับมีชัย เหมือนรัฐธรรมนูญลงยันต์ มันอาถรรพณ์ แก้ไป-แก้มา สุดท้าย "ไปตายตอนจบ" ที่ศาลรัฐธรรมนูญด้วยกันทั้งสองฝ่าย

คือ ๑๐๐ ก็ผิด ๕๐๐ ก็ไม่ถูก กฎหมายลูกฉบับนี้ก็แท้ง!

เห็นตอนใกล้ ๔ ทุ่ม สมาชิกรัฐสภาจำนวน ๕๗๗  ท่าน ลงมติเป็นว่า

ในมาตรา ๒๓ นี้ เห็นด้วยกับ กมธ.เสียงข้างมากที่เอา  ๑๐๐ หาร จำนวน ๑๖๐ เสียง

ไม่เห็นด้วย คือเห็นด้วยกับเสียงข้างน้อยที่เอา ๕๐๐  หาร จำนวน ๓๙๒ เสียง

งดออกเสียง ๒๓ ไม่ลงคะแนน ๒

ก็เป็นอันว่า ในขั้นตอนนี้ เสียงส่วนใหญ่ เห็นด้วยกับญัตติของหมอระวี ที่เอาหาร ๕๐๐ เป็นหลัก

และสรุปลงท้าย......

ญัตติหมอระวีชนะ

ที่ประชุมรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่ ๓๕๔ เสียงในจำนวนที่ประชุม ๕๗๗ คน

เห็นด้วยกับ "หาร ๕๐๐"

สวัสดี!

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

๕ ธันวา ‘ฟ้าอวยชัย’

๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”

ประณีต 'ข้าวแบรนด์โลก'

เมื่อ ๘๐-๙๐ ปี ที่แล้ว.... ในหนังสือเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ครูให้ท่อง “สินค้าส่งออกที่ขึ้นหน้า-ขึ้นตาของไทย" ไม่ใช่ “ดินสอพอง” หรือ “แป้งผัดหน้า”

เงิน ‘ประชามติ’ แจกน้ำท่วม

มันเป็น “ความสุขอย่างหนึ่ง” ของคน “บางจำพวก” ที่ได้อาศัย “ความทุกข์” ชาวบ้าน จากน้ำท่วมหาดใหญ่และหลายๆ จังหวัดในภาคใต้ ยกเป็นเหตุ ขยี้ขยำ ตำกระทืบ “นายกฯ อนุทิน”

“มิตรในยามยาก”

“หาดใหญ่”...มันใหญ่ที่ไหน รู้มั้ย? มันใหญ่ที่ “ใจ” นั่นไง! มหาอุทกภัยครั้งนี้ ก็เข้าใจ ว่ามันรากเลือดหนักหนา-สาหัส แต่ทำไงได้

‘ดี-ร้าย’ อยู่ที่ ‘มุมมอง’

แล้วก็มาถึง “เดือนสุดท้ายของปี ๒๕๖๘ จนได้! นึกย้อนไปเมื่อ ๒๑ ปีที่แล้ว ๒๖ ธันวา.๔๗ “สึนามิ” ถล่ม ๖ จังหวัดใต้ ภูเก็ต, พังงา, ระนอง, กระบี่, ตรัง และสตูล ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เสียชีวิต ร่วม ๖,๐๐๐ คน เจ็บประมาณ ๘,๐๐๐ คน และสูญหายจำนวนมาก