Elizabeth Holmes…สูงสุดสู่สามัญ…(ภาค 2)

ก่อนเข้าเรื่องที่ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ขอนอกเรื่องซักสองเรื่องสั้นๆ ครับ เรื่องแรกคือ ถ้าแฟนคอลัมน์ได้ยินเสียงการถอนหายใจแรงๆ เสียงนั้นมาจากผมครับ เพราะ Lakers ของผมตกรอบ Western Conference Finals ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเข้าใจดีว่าแพ้คือแพ้ แต่บางครั้งการแพ้ยังเป็น Moral Victory ได้ ซึ่งหมายความว่าความผิดหวังและการเจ็บปวดจากการแพ้ (ที่มีอยู่ดี) ปนกับความหวังและข้อดีบางประการ ทำให้รู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง (จะเรียกว่าปลอบใจก็ได้เหมือนกัน)

สำหรับ Lakers ของผม ถึงแม้จะแพ้รวด 4 เกมครั้งนี้ก็ตาม แต่ในการแข่งขันทุกครั้ง มันสูสีจริงๆ ในที่สุด Lakers แพ้ทีมที่เหนือกว่า

แล้วถ้าย้อนกลับไปดูช่วงเปิดฤดูกาล NBA เมื่อประมาณเดือนตุลาคมปีที่แล้ว Lakers ของผมเริ่มฤดูกาลน่าเป็นห่วงสุดๆ ดูไม่มีวี่แววว่าจะถึงไหนเลย เลยถือว่าการแพ้ในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้โลกหยุดหมุน แต่ทำให้มีความหวังบ้าง ทำให้รู้สึกดีบ้าง แต่แพ้คือแพ้ครับ เราต้องยอมรับผลที่ออกมา

ส่วนเรื่องที่สอง ผมขอประกาศในฐานะพ่อ ภูมิใจลูกตัวเอง ลูกชายผมชนะความกลัวของเขาได้ เขาขี่จักรยานสองล้อเป็นแล้วครับ (เขาอายุ 6 ขวบ) ส่วนพี่สาวเขาขี่จักรยานสองล้อก่อนหน้านี้ได้สัก 2-3 ปีแล้ว ดังนั้นถ้าเจอผมที่ไหน แล้วอยู่ๆ ผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่าถือสาอะไรกับผมครับ อดทนนิดนึง เพราะความภาคภูมิใจของผมทำให้อยากประกาศให้คนทั่วโลกรับทราบพร้อมๆ กันหลายๆ รอบ

เอาล่ะครับ ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนดีกว่า ผมพูดถึงเรื่อง Elizabeth Holmes กำลังจะติดคุกสิ้นเดือนนี้ จากการหลอกลวงโลก หลอกลวงพนักงานตัวเอง และหลอกลวงนักลงทุนยักษ์ใหญ่ของโลกเป็นจำนวนไม่น้อย ด้วยสินค้า (ชื่อ Edison) จากบริษัทของเขาเอง (Theranos) ที่โฆษณาให้โลกชวนเชื่อว่าจะปฏิรูป ปฏิวัติ และเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบได้ จะเขย่าอุตสาหกรรมสาธารณสุข และทำให้ชีวิตคนที่กลัวเข็มฉีดยา (อย่างผม) เบาขึ้น (หรือเบาลง?)

ทำให้ Holmes ถูกยกย่องว่าเป็นเทพธิดาแห่งอนาคต สื่อทั่วโลกแห่สัมภาษณ์และลงปกเกือบทุกเล่ม เวทีทุกเวทีแห่กันชวนร่วมงานเพื่อให้ Holmes แสดงวิสัยทัศน์ และแวดวงวิชาการ รวมถึงแวดวงธุรกิจ แห่กันบูชา Holmes เพราะเป็นอนาคต ที่เป็นทั้งตัวอย่างให้กับคนรุ่นใหม่ และเป็นเป้าสำหรับการลงทุน เพื่อหวังกำไรมหาศาล แต่ในที่สุดทุกอย่างอยู่บนภาพลวงตาและการหลอกลวง

Holmes เป็นผู้หญิงไม่ธรรมดาคนนึง เป็นคนมุ่งมั่น เป็นคนเก่ง เป็นคนเข้าใจโลก และมีวิสัยทัศน์จริงๆ ครับ แนวความคิด Edison ริเริ่มเมื่อเขาเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัย Stanford (ปี 2003) เขามีแนวความคิดว่ามันน่าจะมีวิธีเก็บเลือดที่มีประสิทธิภาพมากกว่าระบบเดิม มันน่าจะมีวิธีการเก็บเลือดที่คุ้มค่า กับเม็ดเลือดทุกเม็ดที่เจาะออกมา เขามีความเห็นว่าวิธีการเจาะเลือดหรือเก็บเลือดที่เราคุ้นเคยกันอยู่ มันสิ้นเปลือง ทั้งสิ้นเปลืองเวลา สิ้นเปลืองตัวเม็ดเลือด และสิ่งสำคัญสุด สิ้นเปลืองความกล้าของคนกลัวเข็ม

เขาเลยคิดค้น Patch ที่บ่งบอกคนใส่ Patch นั้นเป็นโรคอะไรบ้าง ควรให้ยาชนิดใด ปริมาณเท่าไหร่ และจากนั้นเริ่มมีแนวความคิดเรื่องระบบการเจาะเลือดหรือให้เลือดที่ควรถูกกว่าปัจจุบัน และมีประสิทธิภาพกว่าปัจจุบัน เป็นการริเริ่มบริษัท Theranos  (Theranos เป็นการผสมสองคำ คือคำว่า Therapy กับคำว่า Diagnosis)

Holmes มุ่งมั่นและเชื่อมั่นกับแนวความคิดใหม่นี้ เลยถอนตัวออกจาก Stanford ตอนอายุ 19 ปี เพื่อทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับ Theranos เขาเชื่อมั่นขนาดจะจดลิขสิทธิ์เลย และเดินสายหาผู้ร่วมแนวทาง และนักลงทุนคนแรกคือ Channing Robertson เป็นอาจารย์สอนเขา ทางอาจารย์สนใจกับแนวคิด Holmes เลยยินดีร่วมงานกับ Holmes ด้วยการช่วยหาแหล่งทุนให้ (เป็นจำนวน 6 ล้านเหรียญฯ ช่วงปลายปี 2004) บวกกับการเป็นบอร์ดคนแรกของ Theranos

การที่ Holmes สามารถดึงคนอย่าง Robertson ร่วมงานด้วยถือว่าสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ Holmes อย่างมาก เพราะ Robertson เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Bioengineering และชื่อเสียงของเขาทำให้คนมีความเชื่อมั่นในตัว Holmes เพราะมีหลายต่อหลายฝ่ายพยายามโจมตีและตั้งข้อสงสัยแนวคิดของ Holmes รวมถึงประสิทธิภาพและเทคโนโลยีในเรื่องนี้ด้วย แต่ทาง Robertson ตอบทุกข้อสงสัย และปกป้อง Holmes เต็มที่ เลยยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับ Holmes และ Theranos

Holmes ได้ทำงานใน Lab ของ Robertson เพื่อพัฒนาแนวความคิดให้เป็นรูปธรรม จากการทำงานใน Lab นั้น ทาง Holmes และทีมงานสามารถพัฒนาแนวความคิดเดิมมาเป็นสินค้า ที่เปรียบเสมือนปากกาแท่งนึง แต่ปลายปากกานี้มีเข็มเล็กๆ เข็มหนึ่งเพื่อเจาะเลือดปลายนิ้ว และจากเลือดไม่กี่หยดที่เจาะไป จะผ่านเครื่องวิเคราะห์และวินิจฉัย ว่าคนคนนั้นมีโรคอะไรบ้าง เครื่องวิเคราะห์นี้ชื่อ Edison

Holmes, Theranos กับ Edison เริ่มเป็นที่ลือกันในแวดวงธุรกิจ รวมถึงอุตสาหกรรมสาธารณสุข ว่าเป็น Game Changer เป็นผู้จับตามอง และเป็นผู้ที่ควรร่วมลงทุนโดยเร็วที่สุดและมากที่สุด เพราะเขากำลังมีนวัตกรรมในมือที่จะเปลี่ยนโลกเร็วๆ นี้ และจะทำกำไรมหึมามหาศาลเลย

ที่ Holmes สามารถเรียกร้องความน่าเชื่อถือได้ดี (ส่วนไม่น้อย) มาจากบอร์ดของ Theranos ที่เต็มไปด้วยผู้มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือทั้งนั้น เริ่มจากอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ George Shultz (Holmes พบเขาครั้งแรกเมื่อปี 2011) ทาง Shultz เชื่อมั่นในตัว Holmes และ Theranos เลยตกลงเป็นบอร์ดให้ และจากเครือข่ายของ Shultz จึงชักชวนและดึงผู้มีชื่อเสียง ทั้งในแวดวงธุรกิจและการเมืองร่วมทำงาน และอยู่ในบอร์ดด้วยกัน เช่น อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ Henry Kissinger อดีตรัฐมนตรีกลาโหม William Perry พลเอก Jim Mattis และอดีต CEO ธนาคาร Wells Fargo เป็นต้นครับ

ด้วยบอร์ดที่มีความน่าเชื่อถือและมีชื่อเสียงขนาดนี้แล้ว จึงทำให้นักลงทุนระดับยักษ์ใหญ่ของโลกสบายใจและเชื่อมั่นที่จะลงทุนใน Theranos เช่น ครอบครัว Walton (เจ้าของ Walmart) ลงทุนไป 150 ล้านเหรียญฯ Robert Murdoch ลงทุนไป 120 ล้านเหรียญฯ ครอบครัว DeVos ลงทุนไป 100 ร้านเหรียญฯ เป็นต้นครับ

หลัง Theranos เปิดตัวในปี 2013 ในปี 2015 Theranos กับ Walgreens ประกาศความร่วมมือจะนำสินค้า Theranos ไว้ใน Walgreens ทุกสาขาทั่วประเทศ เริ่มทดสอบและทดลองใน 40 สาขาเป็นเฟสแรกก่อน ถึงจะขยายไปทั่วประเทศ ในวันแถลงข่าว Holmes ประกาศลั่นว่า ในอนาคตอันใกล้ รูปแบบเจาะเลือดใหม่ของ Theranos จะอยู่รอบรัศมีบ้านคนอเมริกันทุกคนไม่เกิน 5 ไมล์

แน่นอนครับ เป็นช่วงเวลาที่ Holmes กับ Theranos เนื้อหอมที่สุด โด่งดังที่สุด และดาวขึ้นสูงสุด ช่วงนั้นจับอะไรก็เป็นทองหมด พูดอะไรก็ฟังดูดี และในสายตาคนทั่วโลก Holmes คืออนาคต ส่วนนักธุรกิจกับนักลงทุน เขามอง Holmes เป็น ATM เลย

แต่เรื่องไม่ได้จบอยู่ตรงนั้นครับ ฉากหลังความสวยงาม ฉากหลังความสำเร็จ มีความจริงที่ล้มผู้กำลังจะเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกแบบไม่หน้าเชื่อ ในสัปดาห์หน้าเราต่อเรื่องนี้กันครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Sending a Message หรือ The Calm Before the Storm?

เมื่อสัปดาห์ก่อน ช่วงเวลาที่พวกเราสนุกและพักผ่อนกันเต็มที่ช่วงสงกรานต์นั้น มีเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่มันเกิดได้ทุกเมื่อ และในที่สุดก็เกิดขึ้นจริงๆ ครับ

หลานชายคุณปู่

สวัสดีปีใหม่ไทยครับ ช่วงเขียนคอลัมน์นี้ ผมยังอยู่ที่บ้านเฮา เจออากาศทั้งร้อนมากและร้อนธรรมดา เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมเขียนเรื่องการขับรถขึ้นมาบ้านเฮากับลูกสาว

หลานคุณปู่

คอลัมน์สัปดาห์นี้กับสัปดาห์หน้า น่าจะเป็นคอลัมน์เบาๆ ครับ ผมเชื่อว่าแฟนๆ ครึ่งหนึ่งน่าจะหนีร้อนในไทยไปสูดอากาศเย็น (กว่า) ที่อื่น ส่วนใครที่ไม่ไปไหน คงไม่อยากอ่านเรื่องหนักๆ

'แก๊ง'ล้มรัฐบาลได้ด้วยเหรอ? (ตอน 2)

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมเขียนเรื่องราวแก๊งที่ผมสัมผัสและรู้จักสมัยอยู่สหรัฐ สำหรับใครที่ชอบฟังเพลงแนว Gangster Rap ก็คงจะคุ้นเคยกับสิ่งที่ผมเขียนไป แต่สำหรับหลายท่านที่เติบโตคนละยุคคนละสมัยอาจไม่คุ้นเลย

'แก๊ง'ล้มรัฐบาลได้ด้วยเหรอ? (ตอน 1)

ผมมีความรู้สึกว่า ช่วงนี้มีข่าวประเภทแก๊งมีอิทธิพลในประเภทประเทศเอลซัลวาดอร์ โคลอมเบีย และเม็กซิโก มีผลต่อเสถียรภาพการเมืองระดับชาติประเทศเขา

To Shortchange กับ To Feel Shortchanged

จากการเรียกร้องของสาวๆ (สวยๆ) ไทยโพสต์ ผมขออนุญาตสวมหมวกฟุดฟิดฟอไฟวันหนึ่ง เพื่อพูดคุยและอธิบายสไตล์ของผม ถึงคำที่ปรากฏในช่วงต้นสัปดาห์จากนิตยสาร Time ครับ