Elizabeth Holmes สูงสุดสู่….คุก (ตอนจบ)

ในตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เขียนเรื่องราว (ถือว่าเป็นซีรีส์) เกี่ยวกับ Elizabeth Holmes บริษัท Theranos และ Edison ขอเท้าความสักนิดหนึ่งสำหรับใครที่ไม่ติดตามต่อเนื่อง Holmes ก่อตั้งบริษัท Theranos ตอนอายุ 19 ด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นจะเปลี่ยนโลกของเรา ด้วยการคิดค้นวิธีการเก็บเลือดที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพและประหยัด เขาจะเก็บเลือดด้วยการจิ้มปลายนิ้วมือ เพื่อเอาเลือดไม่กี่หยดมาวิเคราะห์และวินิจฉัยโรคต่างๆ ในร่างกาย

ความคิด บวกกับแนวสนับสนุน บวกกับแหล่งลงทุน ทำให้ Holmes พุ่งเป็นผู้มีอิทธิพลและผู้มีชื่อเสียงระดับจักรวาลในชั่วกะพริบตา มีแต่คนทั้งเห่อและแห่กันบูชา Holmes ให้เป็นเทพธิดาแห่งความสำเร็จในอนาคตอันใกล้

มีแต่คนแย่งกันโยนเงินเข้า Theranos เพราะทุกคนเห็นกำไร ทั้งๆ ที่ยังไม่มีผลวิจัย หรือผลของผลิตภัณฑ์ที่เป็นรูปธรรม ทุกอย่างที่ Holmes และ Theranos มีอยู่ในมือคือ ความฝันของอนาคต และนั่นเป็นสิ่งที่เพียงพอที่จะทำให้โลกทั้งใบแย่งกันควักกระเป๋าลงทุนกับ Theranos และยกระดับ Holmes ให้เป็นศาสดาและเทพธิดาแห่งธุรกิจ

แต่ในที่สุดทุกอย่างเป็นภาพลวงตาและเป็นโฆษณาชวนเชื่อ เพราะเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา Elizabeth Holmes เดินเข้าคุกเป็นวันแรกจากคดีฉ้อโกงและหลอกลวง และต้องติดคุกเป็นเวลา 11 ปีครับ

ในช่วงที่ Holmes ขึ้นศาลหลัง Theranos ล่มสลายและต้องปิดกิจการ Holmes พูดอยู่เสมอว่า เขาไม่ได้ตั้งใจหลอกหลวง และไม่คิดจะโกงใคร แต่ที่ทำไปทั้งหมดเพราะเขาเชื่อมั่นกับแนวความคิด เขาอยากช่วยชีวิตคนจริงๆ เขามุ่งมั่นทำให้ความฝันเป็นรูปธรรมให้ได้ เขายอมรับว่าทำผิดพลาด แต่ไม่เคยคิดจะโกงใคร หรือหลอกลวงใครเหมือนที่ถูกกล่าวหาไว้

แต่ทางอัยการวาดภาพไปอีกทาง เขาเอาหลักฐานและเอาคำชี้แจงพยานมามัดมือชก Holmes จน Holmes ดิ้นไม่หลุดและต้องติดคุก

จากการสัมภาษณ์ของ Holmes เกือบทุกครั้ง เขาจะบอกว่า Edison สามารถนำไปใช้หมุนเวียนกันไปกว่า 250 ครั้งต่อการจิ้มปลายนิ้วมือ 1 หน แล้วพูดอยู่เสมอว่า ทาง FDA ของสหรัฐและ WHO ของโลก ได้รับรองคุณภาพอย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่ใช่ความจริง ปรากฏว่า FDA ไม่สามารถรับรองประสิทธิภาพ เพราะผลตรวจของ Edison ตามที่ Holmes กับ Theranos ประกาศและโฆษณาไว้ มีโรคเดียวที่ Edison แม่นยำและตรงคือโรคเริม ไม่ใช่สารพัดโรคที่ทุกคนเชื่อ

ทางอัยการชี้ให้เห็นชัดว่า ตลอดระยะเวลาการทำงานของ Theranos ทั้งช่วงกำลังสร้างตัว จนตลอดช่วงรุ่ง จนช่วงล่มสลายนั้น Edison ไม่มีประสิทธิภาพอะไร ไม่สามารถวินิจฉัยโรคอะไร และไม่สามารถทำตามการโฆษณาของ Holmes ได้เลย ตอนไปทดสอบหลายราย ผลที่จะกลับมาคือผลที่ไม่ตรง เช่น คนที่เป็นโรคเบาหวาน ถูกวินิจฉัยว่าเป็น AIDS คนตั้งครรภ์ถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง (ทั้งๆ ที่ทั้งคู่ไม่ได้เป็น) เป็นต้นครับ

ส่วนผลที่ “ตรง” ค้นพบว่าไม่ได้ตรวจใน Lab ของ Theranos ผ่านเครื่อง Edison แต่กลับเอาเลือดไปให้ Lab ข้างนอกผ่านกระบวนการปกติทั่วไปที่ทำกันอยู่ พอผลกลับมา ทาง Theranos จะบอกว่าเป็นผลงานของ Edison นี่คือวิธีที่ Holmes ใช้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ กับนักลงทุนทุกรายที่พร้อมโยนเงินร่วมอนาคตกับ Theranos

ในช่วงขึ้นศาล พนักงานของ Theranos สารภาพว่า นักลงทุนกับบริษัทยักษ์ใหญ่เกือบทุกรายถูกหลอกด้วยวิธีนี้ คือทุกรายทดสอบ “สินค้า” ด้วยการจิ้มปลายนิ้วมือ และทางทีมงานของ Theranos จะพากลุ่มเหล่านี้ไปเดินชมโรงงาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเลี้ยงดูอย่างดี แต่ในขณะเดียวกัน เลือดที่ถูกเจาะจะไม่ผ่าน Edison ใน Lab ของ Theranos จะส่งออกไปที่ Lab ข้างนอกเพื่อผ่านกระบวนการปกติ และผลเลือดที่กลับมาอ้างว่าเป็นผลงานของ Edison จึงทำให้นักลงทุนทั้งหลายน้ำลายไหล ฝันหวานขึ้นมา และเขียนเช็คลงทุนตรงนั้นเกือบทุกรายครับ

ตลอดระยะเวลาการทำงานของ Theranos ไม่ใช่ว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่า Edison ใช้ไม่ได้ ทุกคนรู้ครับ และเกือบทุกแผนกที่มีความเกี่ยวข้องกับการผลิต Edison พยายามรายงานให้กับ Holmes และมือขวาของเขา Ramesh “Sunny” Balwani แต่แทนที่จะฟัง แทนที่จะช่วยกันแก้ปัญหา Holmes กับ Balwani เลือกประณามคนที่เอาปัญหา Edison มารายงาน จนเกิดวัฒนธรรมความกลัวที่จะพูดความจริงออกมา เพราะวิธีการบริหารของ Holmes กับ Balwani คือบูลลี่ ปิดบัง และบิดเบือนความจริง

แต่ละแผนกของ Theranos เหมือนโดดเดี่ยว และเหมือนเป็น Silo คือแผนกใครแผนกมัน ไม่มีการรู้ว่าแผนกอื่นทำอะไรกันบ้าง ทุกอย่างเป็นความลับ ทุกอย่างปิดบัง และถ้าใครสงสัยหรือตั้งคำถามเกี่ยวกับแผนกอื่น คนคนนั้นจะถูกประณาม และถูกเรียกเข้า “ห้องร้อน” ของ Balwani ตามด้วย “ห้องเย็น” ของ Holmes จนทำให้คนที่อยู่ต่อต้องก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว หรือทำให้คนเก่งๆ (ที่ Holmes เอามาจาก Apple) ลาออกกันเป็นแถว

ทางอัยการชี้ให้เห็นว่า Holmes กับ Balwani ตั้งใจหลอกลวง ให้ว่าที่นักลงทุนเชื่อถึงประสิทธิภาพและความมั่นคงของ Theranos ด้วยการอ้างการสนับสนุนจาก FDA และ Who รวมถึงความร่วมมือกับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ เช่น Pfizer กับบริษัทยาหลายเจ้า ซึ่งเขาไม่ได้แค่อ้างด้วยวาจาเท่านั้น แต่เอาโลโก้บริษัทเหล่านั้นมาอยู่ใน Presentation ทำให้คนฟังและคนอ่านเข้าใจว่าบริษัทเหล่านี้ร่วมทำงานกับ Theranos อย่างจริงจัง แต่ปรากฏว่าบริษัทเหล่านี้ไม่รู้เรื่องและไม่อนุญาต

ทุกคนที่เข้าไปทำงานกับ Theranos เชื่อและตื่นเต้นกับอนาคต เขาเชื่อเต็มร้อยว่า Holmes จะเป็นผู้นำ และเป็นคนมีวิสัยทัศน์ ทุกคนมีความเชื่อมั่น และทุกคนทุ่มเททำงานให้ แต่ในที่สุด Theranos ที่ถูกประเมินว่ามีมูลค่าถึง 9,000 ล้านเหรียญฯ นั้น ต้องถูกปิดกิจการไป เพราะความจริงปรากฏออกมาจากข้อมูลคนภายในเล่าให้นักข่าวชื่อ John Carreyrou แห่ง Wall Street Journal ในปี 2015

จากนั้นในต้นปี 2016 Walgreens ระงับสัญญาที่มีไว้กับ Theranos ตามมาด้วย SEC เริ่มสืบสวนสอบสวน Theranos อย่างเป็นทางการ และในต้นปี 2018 ยื่นข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ และปลายปี 2018 Theranos ต้องปิดกิจการไป เพราะเงินที่สะสมมาทั้งหมดจะต้องเอาไปคืนนักลงทุน และบริษัทที่ลงทุนกับ Theranos เกือบทุกรายครับ

ในที่สุด Balwani ต้องติดคุก 13 ปี ส่วน Holmes ต้องติดคุก 11 ปีครับ

จริงๆ แล้ว เรื่อง Theranos มีรายละเอียดที่น่าสนใจเยอะมาก และเป็นกรณีศึกษาได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิธีการที่ Holmes สร้างตัวเขาขึ้นมาจากเด็กมหาวิทยาลัยปี 1 สู่ Superstar ในแวดวงธุรกิจ หรือเรื่องความโลภของบริษัท/นักลงทุนยักษ์ใหญ่ ที่ควรทำการบ้านดีกว่านี้ แต่เชื่อคำพูดของ Holmes เพียงเพราะฝันหวานเห็นกำไร หรือแม้แต่เรื่อง Theranos ถอดแบบ Apple ในการทำงานจนประสบความสำเร็จอย่างสูง

ส่วนรายละเอียดอื่น เช่น Balwani กับ Holmes มีความสัมพันธ์กันตลอดระยะเวลาการบริหาร Theranos แต่ไม่เปิดเผยและปิดบังทั้งพนักงานของตัวเองและนักลงทุน ความจริงเรื่อง Theranos เขียนเป็นเดือนยังไม่หมดเรื่องครับ เขียนได้ทุกวัน เขียนได้ทุกสัปดาห์ เขียนได้ตลอด เอาเป็นว่าที่ผมเขียนมา 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการสรุปเรื่อง เผื่อจะไปค้นคว้าและอ่านเรื่องด้วยตนเอง หรืออยากเสิรมความรู้รอบตัว อย่างไรก็ตาม ผมบอกเลยว่าเป็นเรื่องหน้าสนใจแทบทุกมิติ และดีไม่ดี ผมอาจจะกลับมาเขียนใหม่ในวันข้างหน้าครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“Don’t Have a Cow, Man!!!!”

ความจริงผมตั้งใจเขียนต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน เรื่องการชุมนุมและประท้วงสงครามอิสราเอล-ฮามาส ตามมหาวิทยาลัยดังๆ ในสหรัฐ แต่บังเอิญมีเรื่องที่เป็นกระแสใหญ่ในบ้านเราที่ผมอดเขียนไม่ได้ครับ เ

การประท้วงตามมหาวิทยาลัยในสหรัฐ (ตอนที่ 1)

อุณหภูมิบ้านเรามันร้อนเหลือเกินครับ ไปไหนมาไหนมีแต่คนพูดถึงความร้อน ซึ่งมันก็ร้อนจริงๆ แต่ยังโชคดีที่สัปดาห์หน้า อุณหภูมิจะไม่ร้อนระอุเหมือนที่ผ่านมา จากอุณหภูมิร้อนระอุจะกลับสู่ภาวะร้อนธรรมดา ก็ยังดีครับ

Be Careful What You Wish For….Your Wishes May Come True

ปกติถ้าบอกว่า “รอดูผลอีก 9 เดือน” คงไม่ต้องอธิบายความหมายใช่ไหมครับ? แต่สำหรับแฟนๆ TikTok ในสหรัฐอเมริกา ความหมายจะแตกต่างโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Joe Biden ได้ลงนามอย่างเป็นทางการให้บริษัท Bytedance ขาย TikTok ในสหรัฐภายใน 9 เดือน หรือถ้าจะยืดเวลาออกไป

Sending a Message หรือ The Calm Before the Storm?

เมื่อสัปดาห์ก่อน ช่วงเวลาที่พวกเราสนุกและพักผ่อนกันเต็มที่ช่วงสงกรานต์นั้น มีเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่มันเกิดได้ทุกเมื่อ และในที่สุดก็เกิดขึ้นจริงๆ ครับ

หลานชายคุณปู่

สวัสดีปีใหม่ไทยครับ ช่วงเขียนคอลัมน์นี้ ผมยังอยู่ที่บ้านเฮา เจออากาศทั้งร้อนมากและร้อนธรรมดา เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมเขียนเรื่องการขับรถขึ้นมาบ้านเฮากับลูกสาว

หลานคุณปู่

คอลัมน์สัปดาห์นี้กับสัปดาห์หน้า น่าจะเป็นคอลัมน์เบาๆ ครับ ผมเชื่อว่าแฟนๆ ครึ่งหนึ่งน่าจะหนีร้อนในไทยไปสูดอากาศเย็น (กว่า) ที่อื่น ส่วนใครที่ไม่ไปไหน คงไม่อยากอ่านเรื่องหนักๆ