ปกสีแดงฉานพร้อมตัวอักษร AI เป็นแสงขาวโพลนเพื่อตอกย้ำว่า AI อาจกำลังทำลายมนุษยชาตินั้นดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อย
อย่างน้อยผมก็ต้องหยุดตั้งคำถามว่า พาดหัวขึ้นปกอย่างนี้ “แรงไปหน่อย” หรือเปล่า
ทำให้ต้องติดตามปฏิกิริยาของผู้คนที่เห็นปกนิตยสารฉบับนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย
บางคนวิพากษ์ผ่านทวิตเตอร์ว่า “พาดหัวขึ้นปกอย่างนี้เกินไปหน่อย อย่างนี้มันเฟกนิวส์นี่นา...”
อารมณ์ของผู้คนต่ออนาคตของ “ปัญญาประดิษฐ์” วันนี้ค่อนข้างคุกรุ่น
ที่เห็นว่าดีเลิศประเสริฐศรีก็มาก แต่ที่มองว่าเป็นมหันตภัยใหญ่หลวงก็มีไม่น้อยเช่นกัน
รายงานพิเศษของไทม์เล่มนี้ จงใจประเมินถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการแข่งขันกันอย่างบ้าคลั่งในการเป็นผู้ชนะในเกมเทคโนโลยีรอบนี้
โดยเปรียบเทียบว่า ในอดีตหลายๆ ประเทศแข่งกันพัฒนาและสั่งสมอาวุธที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนกลายเป็นการแข่งกันสร้างแสนยานุภาพอย่างไร้ขีดจำกัด หรือที่เรียกว่า arms race เพราะไม่มีใครยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
แต่ในการแข่งกันเรื่อง AI นี้ ผู้ชนะอาจเป็นสมองกลที่เก่งมากจนกลายเป็นความฉลาดสายพันธุ์ใหม่ในโลก
ที่ทำให้มนุษย์เป็นเสมือนสายพันธุ์ชิมแปนซี ผลที่ตามมาก็คือมนุษยชาติก็จะกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด
รายงานของไทม์บอกว่า การที่บริษัทยักษ์ๆ เห็นถึงศักยภาพของ AI และกระโดดเข้าแข่งกันพัฒนากันอย่างเอาเป็นเอาตายในตอนนี้ อาจจะเข้าใจผิดคิดว่ามันเหมือนการแข่งขันด้านอาวุธ
การแข่งทำสงครามยังมีผู้ชนะและผู้แพ้
แต่ถ้าเป็นการแข่งสร้าง AI ที่ฉลาดมากขึ้นทุกวันจนเก่งกว่ามนุษย์
นั่นอาจหมายความว่าคนอาจแพ้กันหมด
รายงานนี้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายช่วยกันระดมสมองและตั้งสติให้ดี และต้องพัฒนาเทคโนโลยีนี้ด้วยความรอบคอบ
โดยไม่ต้องแข่งขันกันอย่างบ้าคลั่งเพียงเพื่อจะชนะกันทางด้านพาณิชย์
ในสัปดาห์เดียวกันนี้เอง ก็มีกลุ่มผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีออกมาเตือนว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นอาจเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า
จึงควรพิจารณาว่ามันมีความเสี่ยงต่อสังคมที่อาจเทียบได้กับโรคระบาดและสงครามนิวเคลียร์
“การลดความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของมนุษย์จาก AI ควรมีความสำคัญระดับโลกควบคู่ไปกับความเสี่ยงระดับสังคมอื่นๆ เช่น โรคระบาดและสงครามนิวเคลียร์” ส่วนหนึ่งของถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดย Center for AI Safety ยืนยัน
องค์กรนี้เป็นหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไร เป็นจดหมายเปิดผนึกลงนามโดยผู้บริหาร นักวิจัย และวิศวกรมากกว่า 350 คนที่ทำงานด้าน AI
ผู้ลงนามประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงจากเอไอชั้นนำ 3 ราย ได้แก่
Sam Altman หัวหน้าผู้บริหารของ OpenAI;
Demis Hassabis ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Google DeepMind;
และ Dario Amodei ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Anthropic
รวมถึง Geoffrey Hinton และ Yoshua Bengio นักวิจัย 2 ใน 3 คนซึ่งได้รับรางวัล Turing Award จากการบุกเบิกงานเกี่ยวกับโครงข่ายประสาทเทียม และมักถูกมองว่าเป็น “เจ้าพ่อ” ของ AI ยุคใหม่
แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นในช่วงเวลาที่มีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์ ความก้าวหน้าล่าสุดในรูปแบบภาษาขนาดใหญ่ที่เรียกว่า - ประเภทของ AI ระบบที่ใช้โดย ChatGPT และแชตบอตอื่นๆ
ทำให้เกิดความกลัวว่าในไม่ช้านี้ AI อาจถูกใช้ในวงกว้าง เพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดและโฆษณาชวนเชื่อ หรืออาจทำให้คนตกงานนับล้าน
ChatGPT ซึ่งเป็นโมเดลภาษาปัญญาประดิษฐ์จากห้องปฏิบัติการวิจัย OpenAI เป็นข่าวเกรียวกราวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงความสามารถในการตอบคำถามที่ซับซ้อน เขียนบทกวี สร้างโค้ด วางแผนวันหยุดพักผ่อนและแปลภาษา
GPT-4 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดที่เปิดตัวเมื่อกลางเดือนมีนาคม สามารถตอบสนองต่อรูปภาพได้ (และช่วยให้สอบเนติบัณฑิตได้ด้วย)
สองเดือนหลังจากการเปิดตัว ChatGPT บริษัท Microsoft ซึ่งเป็นนักลงทุนและหุ้นส่วนหลักของ OpenAI ได้เพิ่มแชตบอตที่คล้ายกัน ซึ่งสามารถสนทนาด้วยข้อความแบบปลายเปิดได้แทบทุกหัวข้อในเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต Bing
“กวี” แชตบอตของ Google ที่เรียกว่า Bard เปิดตัวในเดือนมีนาคมสำหรับผู้ใช้จำนวนจำกัดในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
เดิมมองว่าเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ที่ออกแบบมาเพื่อร่างอีเมลและบทกวี โดยสามารถสร้างแนวคิด เขียนบล็อกโพสต์ และตอบคำถามด้วยข้อเท็จจริงหรือความคิดเห็นได้
Baidu ยักษ์ใหญ่ด้านการค้นหาของจีนเปิดตัว Ernie ซึ่งย่อมาจาก Enhanced Representation through Knowledge Integration
แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนักเพราะทำงานไม่ค่อยจะได้ตามความคาดหวัง
เมื่อเห็นการแข่งกันออกสินค้า AI กันอย่างรุนแรงเช่นนี้ บางคนเชื่อว่า AI อาจมีพลังมากพอที่จะสร้างความปั่นป่วนในระดับสังคมได้ภายในเวลาไม่กี่ปี หากไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อชะลอการรุกคืบของมัน
เดือนที่ผ่านมาเหล่า “เจ้าพ่อ AI” ได้พบกับประธานาธิบดี โจ ไบเดน และรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเอไอและระเบียบข้อบังคับที่กำกับดูแลทั้งหลาย
Altman แถลงต่อวุฒิสภาเตือนถึงความเสี่ยงของ AI ขั้นสูง และเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการควบคุมดูแลการพัฒนาก่อนที่จะสายเกินแก้
แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งก็โต้แย้งว่า เทคโนโลยี AI ยังไม่ถึงขั้นที่จะก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อสังคมในส่วนรวม
หลายคนแย้งว่า AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วจนแซงหน้าการกำกับดูแลขององค์กรมนุษย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
อาการที่เห็นอยู่นี้จะเรียกว่า “ตระหนก” มากกว่า “ตระหนัก” ก็เห็นจะไม่ผิด
แต่ในเมื่อ “เจ้าพ่อเอไอ” เองออกมาส่งเสียงตะโกนดังลั่นอย่างนี้แล้ว เราๆ ท่านๆ ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็คงต้องฟังอย่างตั้งใจโดยพร้อมเพรียงกันเสียแล้ว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ
เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่กลายเป็น ที่ซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติ
เมื่อวานเขียนถึงรายงานในสำนักข่าวชายขอบที่สำนักจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยว่าด้วยกิจกรรมอาชญากรรมข้ามชาติในบริเวณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ที่สามเหลี่ยมทองคำ
แหล่งค้ามนุษย์ใน 3 เหลี่ยมทองคำ
เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ SEZ บริเวณสามเหลี่ยมทองคำที่โยงกับไทยนั้นกลายเป็นประเด็นเรื่องอาชญกรรมข้ามชาติที่สมควรจะได้รับความสนใจของรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง
ไบเดนหรือทรัมป์? เอเชียน่าจะเลือกใครมากกว่า?
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการดีเบตระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ วันนี้ (เวลาอเมริกา) จะไม่ให้ความสำคัญต่อเอเชียหรืออาเซียน
พรุ่งนี้ ลุ้นดีเบตรอบแรก โจ ไบเดนกับโดนัลด์ ทรัมป์
ผมลุ้นการโต้วาทีระหว่างโจ ไบเดน กับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (27 มิถุนายน) เพราะอยากรู้ว่า “ผู้เฒ่า” สองคนนี้จะมีความแหลมคมว่องไวในการแลกหมัดกันมากน้อยเพียงใด
เธอคือ ‘สหายร่วมรบ’ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค NLD คนสุดท้าย!
อองซาน ซูจีมีอายุ 79 ปีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา...และยังถูกจำขังในฐานะจำเลยของกองทัพพม่าที่ก่อรัฐประหารเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว